วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553
พาน้องส่งห้อง
เรื่องนี้ พี่เดชพี่ชายผมเล่าให้ฟัง เห็นมันแปลกและชวนน่าขนลุกจึงนำมาถ่ายทอดให้แฟนเรื่องสยองขวัญได้ฟังกัน
เมื่อต้นปีที่แล้วพี่เดชได้ไปผ่อนคอนโดไว้ใกล้ๆที่ทำงาน เป็นคอนโดมิเนียมสูงสิบชั้น ตั้งอยู่ชานเมือง สร้างมาหลายปีแล้ว คืนแรกๆที่พี่เดชไปนอนที่คอนโดฯ ยังไม่สังเกตเห็นความแปลก แต่พอสองสามคืนผ่านไปก็เริ่มเห็นว่ามันมีอะไรที่ไม่ปรกติพอดู กล่าวคือ ในตอนกลางวันมีผู้คนเดินเข้าออกคึกคัก แต่พอตกกลางคืนบรรยากาศพลุกพล่านจอแจเมื่อตอนกลางวันดูเหมือนจะหายไปหมด คนในคอนโดฯ หมกตัวในห้องของใครของมัน ไม่ค่อยโพล่ออกมาเพ่นพ่านนอกห้อง ทำให้เงียบๆยังไงก็ไม่รู้ ยิ่งดึกภายในคอนโดฯ ก็ยิ่งวังเวง
คืนหนึ่งพี่เดชออกมาจาห้องเพื่อไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อหน้าคอนโดฯ ขณะเดินไปตามโถงทางเดินเพื่อไปลงลิฟท์นั้น รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบวังเวงจนสัมผัสได้ พอลงมาถึงชั้นล่างพี่เดชก็เดินลัดสนามหญ้าตัดออกไปยังถนนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก ขณะกำลังผ่านสนามหญ้าด้านข้างตัวตึก พลัน…หูก็แว่วได้ยินเสียงกระซิบร่ำไห้ของเด็กดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง พี่ผมจึงมองดูรอบๆ จึงเห็นร่างเล็กๆของเด็กคนหนึ่ง แกกำลังยืนร้องไห้อยู่ข้างตึก ทำให้พี่เดชนึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่าดึกออกอย่างนี้ทำไมมีเด็กมายืนร้องไห้อยู่ข้างตึกได้ พี่เดชหยุดมองครู่หนึ่งจึงเดินผ่านไป กระทั่งซื้อของเสร็จเดินกลับมาก็ยังเห็นเด็กคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม พี่เดชจึงเดินเข้าไปหา “หนูมายืนทำอะไรอยู่แถวนี้ มืดๆ ค่ำๆ อยู่ห้องไหนเดี๋ยวน้าจะไปส่งที่ห้อง”
แกสะอึกสะอื้นมองพี่เดชก่อนจะชี้ไปยังชั้นบน พลางบอกน้ำเสียงเย็นเยือก “หนูอยู่ห้อง 5 ชั้น 10 หนูขึ้นตึกไม่ได้ แม่ไม่ลงมารับ น้าช่วยไปส่งหนูที่ห้องหน่อย”
แม้ตอนนั้นจะนึกแปลกใจว่าทำไมพ่อแม่เด็กถึงไม่ใส่ใจ ลูกไม่กลับเข้าห้องแทนที่จะออกตามหากลับปล่อยให้เด็กมายืนร้องไห้อยู่ข้างตึก ไม่รู้เป็นพ่อแม่ประสาอะไร พี่เดชจึงอาสาพาเด็กขึ้นไปส่งที่ห้องเอง
พี่เด็กเดินเข้าไปในตึกเดินเข้าลิฟท์โดยมีเด็กคนนั้นเดินตามมาติดๆ ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์นั้น พี่เดชเล่าว่าแกรู้สึกเย็นเยียบ ขนลุกตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก่อนที่ลิฟท์จะเปิดออกที่ชั้นสิบ
พี่เดชถามเด็กคนนั้นว่าชื่ออะไร แกบอกว่าชื่อน้องปุ้ย คุณแม่ชื่อแม่นก พี่เดชยักหน้าหงึกและไม่ได้ถามอะไรต่อ พอโผล่ออกจากลิฟท์ก็เดินไปยังห้องหมายเลข5 โดยมีเด็กคนนั้นเดินตามตลอดเวลา ไปถึงหน้าห้องพี่เดชจึงกดออดหน้าห้อง สักพักมีหญิงวัยกลางคนมาเปิดประตูและทำหน้าฉงนเมื่อเห็นพี่เดชยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าของหล่อนอมทุกข์ หล่อนถามด้วยน้ำเสียงวแหบแห้งว่ามาหาใคร พี่เดชตอบหล่อนว่ามาหาคุณนก ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าหล่อนเองชื่อนกเป็นเจ้าของห้องนี้ มีธุระอะไรหรือเปล่าตอนแรกว่าจะต่อว่าผู้หญิงคนนี้ที่ปล่อยให้ลูกยืนร้องไห้อยู่ข้างตึกไม่สนใจไปตาม แต่พอเห็นใบหน้าอมทุกข์พี่เดชจึงตัดสินใจบอกกับหล่อนว่า “คือผมลงไปซื้อของเมื่อครู่ เห็นเด็กคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ข้างตึก เลยเข้าไปถามแกบอกว่าชื่อน้องปุ้ย แม่ชื่อนก อยู่ที่ห้อง5ชั้น10 แกอยากให้ผมพามาส่งที่ห้อง ผมเลยพาลูกคุณมาส่งนะครับ”
ให้ตายเถอะ…พี่เดชบอกออกไปแบบนั้นแล้วก็แทบช็อค เมื่อผู้หญิงที่ชื่อนกล้มฟุบลงไปทันที ด้วยความตกใจพี่เดชร้องลั่นว่าเป็นอะไร พอดีคนอื่นๆ ในห้องวิ่งมาดูและรีบประคองร่างที่อ่อนระทวยของหล่อนเข้าไปปฐมพยาบาลในห้อง พยาบาลกันอยู่พักใหญ่จึงฟื้นคืนสติกลับมาและร้องไห้เป็นวักเป็นเวรกว่าจะได้คุยกันรู้เรื่อง
ทุกคนในห้องรุมซักพี่เดชใหญ่ว่าเห็นเด็กที่ชื่อปุ้ยยืนร้องไห้อยู่ที่ข้างตึกจริงหรือ พี่เดชบอกว่าเห็นจริงๆ พลางมองหาน้องปุ้ยที่เดินตามมาแต่ทว่าไม่เห็น ออกไปดูที่โถงทางเดินก็ว่างเปล่า น้องปุ้ยหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พี่เดชจึงบอกว่าเดี๋ยวจะออกไปตามน้องปุ้ยเพราะเดินตามมาด้วยกัน “เดี๋ยวๆๆ คุณ….” น้องชายของผู้หญิงที่ชื่อนกถามขึ้น “คุณว่าน้องปุ้ยเดินตามคุณขึ้นมาจากชั้นล่างหรือ”
“ก็ใช่นะสิ…แกบอกให้ผมพามาส่งแล้วก็เดินมาด้วยกัน ตอนที่คุณนกเป็นลมแกยังยืนอยู่ข้างหลังผมเลย” พี่ชายผมตอบออกไป ทั้งยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้หญิงที่ชื่อนกร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก ต้องปลอบกันอยู่พักใหญ่จึงเงียบลงได้ แล้วเรื่องที่ทำให้พี่เดชแทบช็อคก็ถูกถ่ายทอดให้ฟัง…คือเด็กที่ชื่อน้องปุ้ย ที่พี่เดชพบยืนร้องไห้อยู่ข้างตึกนั้น แกตายได้เกือบเดือนแล้ว ก่อนที่พี่เดชจะย้ายเข้ามาอยู่ สาเหตุที่ตายเพราะตกจากระเบียงขณะที่ปีนระเบียงขึ้นไปสอยว่าวที่ติดอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เลยพลัดหล่นลงมาจากระเบียงชั้นสิบ ตกลงมาสิ้นใจตายตรงจุดที่พี่เดชเห็นแกยืนร้องไห้นั่นล่ะ…
พี่เดชบอกว่าพอรู้เรื่อง ตอนขากลับออกจากห้องนั้นที่ชั้น10 พี่เดชต้องขอร้องคนในห้องให้ลงมาส่ง เพราะแกบอกว่าไม่กล้าจะลงลิฟท์คนเดียวจริงๆ หลังจากเจอเหตุการณ์นั้น พี่เดชแทบไม่กล้าโผล่ออกจากห้องยามดึกดื่นเที่ยงคืนอีกเลย
งูเจ้าที่
บ้านของฉันอยู่ต่างจังหวัดในแถบภาคอีสาน เป็นบ้านเดี่ยวที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้มากมายจนบางครั้งทำให้ดูน่ากลัว แต่ฉันกับครอบครัวอยู่กันมาจนจะ 10 ปี ก็ไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวเลย
ทว่า ได้มีสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันในวันที่ 21 มิถุนายน 2548 อันเป็นวันที่ฉันต้องอยู่คนเดียว ทุกคนต้องไปธุระกันหมดที่อีกจังหวัดหนึ่ง ฉันนอนเล่นจนถึงช่วงบ่าย กำลังจะเข้าไปอาบน้ำก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะพอเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปก็เจองูขนาดลำไม้ลวกนอนนิ่งอยู่บนหลังโถชักโครก ฉันจึงคว้าไม้กวาดตีมันจนตาย แล้วเขี่ยลงโถส้วมแล้วกดน้ำชำระลงไป จากนั้นฉันก็ออกมาและโทรศัพท์ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของฉันตกใจมาก พอครอบครัวของฉันกลับมาถึง แม่ก็ว่าฉันใหญ่ว่าไปตีงูตัวนั้นทำไม ทำไมไม่ไล่เขาไป เพราะงูตัวนั้นอาจเป็นงูเจ้าที่เจ้าทางก็ได้
วันรุ่งขึ้น แม่จึงพาฉันไปทำบุญให้กับงูตัวนั้น ครอบครัวของฉันและฉันคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
2 วันต่อมาฉันรู้สึกปวดร้าวกระดูกลำตัวด้านซ้ายอย่างบอกไม่ถูก แม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ฉันก็เล่าอาการที่เป็นให้หมอฟัง หมอก็ให้เอ็กซ์เรย์ ตรวจเลือด แล้วนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล 4 วัน หมอก็ให้กลับบ้านได้ (หมอบอกว่าผลการเอ็กซ์เรย์ไม่พบอะไร) แต่หลังจากกลับบ้านได้ 2 วัน ก็ต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่มีอาการปวดร้าวกระดูกอย่างเดียว แต่ยังมีอาการหายใจไม่ออกแน่นหน้าอกอีกด้วย อาการเหมือนคนกำลังจะตาย พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็รีบให้ออกซิเจน พร้อมกับวัดคลื่นหัวใจแล้วก็เอ็กซ์เรย์หัวใจ แํนมีอาการอย่างนี้ทุกวัน หมอต้องให้ออกซิเจนทุกวัน กินยามื้อละ 9 เม็ดทุกมื้อ หมอก็ไม่ทราบสาเหตุจากผลของการเอ็กซ์เรย์หรือแม้กระทั่งผลของการตรวจเลือด ฉันนอนอยู่โรงพยาบาล 14 วัน หมอจึงให้กลับบ้านได้
วันรุ่งขึ้นแม่พาฉันไปทำบุญและถวายสังฆทานพร้อมกับรดน้ำมนต์ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับพระสงฆ์องค์หนึ่งฟัง
ท่านฟังแล้วก็บอกว่างูที่ฉันตีเป็นงูเจ้าที่เจ้าทางเค้ามาปกป้องดูแลบ้านและดูแลรักษาครอบครัวของฉัน แล้วที่ฉันเป็นอย่างนี้ก็เพราะฉันไปตีเค้า แต่ท่านก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว เพราะสิ่งที่ฉันได้มาทำบุญและถวายสังฆทานให้กับเค้าทางเค้าคงได้รับแล้ว แล้วก็คงจะหายโกรธกับสิ่งที่ฉันได้ทำไปในวันนั้น แล้วพระภิกษุท่านนั้นก็สอนฉันว่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อะไรก็ตามอย่าไปรังแกอย่าไปทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่คนนับถือหรือสัตว์ตามท้องถนนก็ตาม แล้วท่านก็สวดมนต์ให้ฉันพร้อมกับรดน้ำมนต์ หลังจากนั้นมาอาการของฉันก็ดีขึ้นต่อไปนี้ฉันสัญญากับตัวเองว่าฉันจะไม่ทำร้ายหรือรังแกสัตว์ทุกตัว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวฉันนั้น ฉันรับรู้ได้เลยว่าเวรกรรมมีจริง ไม่ต้องรอให้เกิดในชาติไหนหรอก ทำกันในชาตินี้ก็เห็นกันในชาตินี้