วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผีเปรต


เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่งซึ่งได้เคยสร้างบาปกรรมอย่างหนักไว้ในอดีต พอสิ้นชีวิตลงก็ต้องมารับกรรมกลายเป็นเปรตตามแต่ผลของกรรมจะบันดาล ทำให้เปรตต้องมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ชอบส่งเสียงร้องหรือขึ้นมาขอส่วนบุญจากมนุษย์
ตระกูลเปรตนั้นแบ่งได้เป็น 12 ตระกูล ตามคัมภีร์เปตวัตถุหรือนิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องของเปรต คือ

1. วันตาสาเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินน้ำลาย น้ำมูก อาเจียนเป็นอาหาร
2. กูณปราทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินซากศพคนและสัตว์เป็นอาหาร
3. คูถขาทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
5. สุจิมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม
6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล คือ เปรตเปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
7. นิชฌาบกเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้เผา
8. สัตตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเล็บมือ เล็บเท้ายาว และคมเหมือนมีด
9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
10. อังครังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
11. เวมานิกเปรตตระกูล คือ เปรตที่เสวยทุกข์ในกลางคืน และไปเสวยสุขในวิมานบนสวรรค์ตอนกลางวัน
12. มหิทธิกาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีฤทธิ์มากและเป็นเจ้าแห่งเปรตทั้งหลาย


การที่มนุษย์จะเกิดมาเป็นเปรตก็ตามแต่บาปกรรมที่ได้กระทำไว้บนโลกมนุษย์ เช่น ผู้ที่ชอบดุด่าตบตีผู้มีพระคุณหรือบุพการี ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นตอนมีชีวิตอยู่ควรหมั่นทำบุญสร้างกุศลเข้าไว้ โยเฉพาะกับพ่อแม่ ตายไปจะได้ไม่เกิดเป็นเปรต

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตู้เก็บของในกุฏิ


เรื่องนี้เกิดขึ้นกับน้าชายของผม เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ขณะที่เขากำลังบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่เอง โดยมีกำหนดที่บวช 1 สัปดาห์ ตามปกติพระที่บวชใหม่จะมีพระพี่เลี้ยง 1 องค์คอยชี้แนะว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไรขณะที่อยู่ในผ้าเหลือง น้าชายผมก็เช่นกัน

วันแรกที่บวชพระพี่เลี้ยงก็พาน้าชายไปที่กุฏิที่พัก ซึ่งเป็นศาลาเก่าๆ ห้องเดี่ยว ตั้งห่างจากอุโบสถไปเล็กน้อย ประตูล็อคไว้ด้วยโซ่ขนาดใหญ่

“ทำไมต้องล่ามโซ่ด้วยละหลวงพี่” น้าผมถามด้วยความสงสัย

“วัดนี้นานๆ จะมีคนมาบวช แล้วกุฏิอื่นก็มีพระอยู่หมดแล้ว เลยเก็บที่นี่ไว้เพื่อจะมีคนมาบวชอีก น้องโชคดีนะได้พักประเดิมรอบปีนี้เลย” พระพี่เลี้ยงตอบพลางไขกุญแจและดึงโซ่ออก

ภายในห้องมีฝุ่นฟุ้งไปหมด ต้องปัดกวาดเช็ดถูพักใหญ่ กว่าจะจัดการอะไรเรียบร้อยก็เย็นพอดี

ตกกลางคืนได้เวลานอนพักผ่อนพระพี่เลี้ยงก็บอกกับน้าว่า “ก่อนนอนกราบหมอนบอกเจ้าที่เจ้าทางสักหน่อย ว่าเรามาบวชรับใช้ศาสนา” บอกแค่นี้ก็จากไป น้าผมก็ทำตามในใจก็คิดว่าคงไไม่มีอะไร

คืนนั้นน้าชายผมหลับอย่างปกติ ตื่นเช้าออกบิณฑบาต พระพี่เลี้ยงก็ถาม “เมื่อคืนเป็นไงบ้าง”

“ไม่มีอะไรนี่ครับ ผมหลับสนิทเลย” น้าผมตอบพลางนึกถึงเรื่องหนึ่งซึ่งสังเกตเห็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว “ไอ้ตู้ที่ติดกับฝาห้องนั่นเก็บอะไรไว้หรือครับ” น้าผมถามถึงตู้ใหญ่ที่อยู่ในห้องซึ่งถูกปิดด้วยโซ่เหมือนประตู

“ไม่มีอะไรหรอก ตู้เก่าๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยเก็บไว้ในนั้นน่ะ” พระพี่เลี้ยงตอบ
น้าผมถามว่า “ทำไมไม่เอาไปใส่หนังสือ พวกตำราล่ะครับ หรือเอาไม้ไปทำอะไรก็ได้”
หลวงพี่ไม่ตอบอะไรเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว

เมื่อกลับกุฏิ น้าผมลองคลำดูตู้นั้นว่ามีรูอะไรหรือไม่ แต่ก็ไม่มี น้าลองเคาะดู ถ้าใส่ของไว้ เสียงมันจะฟ้อง ก็ปรากฏว่าใส่ของไว้จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

ตลอดสัปดาห์ต่อมา น้าผมพักในห้องนี้โดยไม่มีปัญหาอะไร จนถึงคืนสุดท้ายก่อนสึก ขณะที่น้ากำลังเคลิ้มจะหลับก็รู้สึกหนาวจับกระดูก ทั้งที่เป็นหน้าร้อน น้าจึงเอื้อมมือจะหยิบผ้าห่มมาคลุมให้หายหนาว แต่ร่างกายกลับขยับไม่ได้เหมือนถูกตรึงไว้กับเสื่อ จากงัวเงียกลายเป็นตื่นทันที สักพักสิ่งที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมาก็บังเกิดขึ้น ควันสีขาวปนเขียวลักษณะเหมือนควันบุหรี่ฟุ้งเต็มไปทั่วห้อง อากาศเย็นจนหนาวแต่น้าผมเหงื่อแตกพลั่กมือก็บิดชายจีวรแน่น สักพักควันสีขาวปนเขียวนั้นก็รวมกันเป็นคล้ายรูปหน้าคนขนาดใหญ่แทบแน่นห้อง เป็นหน้าคนที่น่ากลัวที่สุด แต่ยังคงเป็นควันสีขาวปนเขียว ดวงตาของใบหน้านั้นจ้องเขม็งเข้าไปในลูกตาดำของน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันจ้องอยู่นานมาก น้าอยากจะหลับตาหนี แต่ก็ขยับตัวไม่ได้แม้แต่จะกระพริบตาก็ยังทำไม่ได้ เวลาผ่านไปนานเหมือนอยู่ในนรก แล้วใบหน้าที่น่ากลัวนั้นก็ค่อยๆ กระจายเป็นควันธรรมดาอีกครั้ง ก่อนที่จะสลายไปกับอากาศอันเย็นเฉียบ แล้วน้าผมก็ขยับตัวได้ทันที คงไม่ต้องบอกคุณผู้อ่านว่า น้าผมจะทำอย่างไรต่อนะครับ! แกร้องลั่น พลางดีดสปริงตัวขึ้นพุ่งตัวออกนอกห้อง (ตอนผมฟังน้าเล่าแกบอกว่า จำไม่ได้ว่าบิดลูกบิดหรือเปล่า หรือพุ่งชนประตูออกไปเลยด้วยความกลัว)
“โอ๊ย! ช่วยด้วย ผีหลอก!” น้าผมวิ่งตะโกนออกมาด้วยความกลัวสุดขีด ทันใดนั้นก็มีมือคู่หนึ่งพุ่งมารัดตัวน้าไว้ “เฮ้ย! ทำใจดีๆ พี่เอง” พระพี่เลี้ยงนั่นเอง “นึกแล้วว่าต้องเจอคืนนี้เลยมาดักรออยู่” น้าผมได้ยินแว่วๆ ผ่านๆ หูเท่านั้นก่อนที่จะล้มลงตรงนั้น

รุ่งเช้าหลังจากที่ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในการสึกเสร็จ พระพี่เลี้ยงพาน้าไปที่ห้องนั้นพร้อมกุญแจพวงหนึ่ง “เดี๋ยวจะให้ดูที่เจอเมื่อคืน พระทุกรูปแหละ พักห้องนี้เมื่อไรเจอทุกราย แล้วพี่นี่แหละต้องมาดักรออยู่หน้าห้องทุกที” หลวงพี่บอกขณะที่ตามเข้าไป “ปึ้ง!” ประตูตู้ถูกเปิดออก ข้างในนั้นคือกองกระดูกขนาดใหญ่ มีกะโหลกนับสิบหัว หลวงพี่หันมาดูน้าซึ่งยืนนิ่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้น พร้อมกับนึกในใจว่า “นี่เรานอนร่วมกับกระดูกใครก็ไม่รู้มาตั้งอาทิตย์หรือนี่”

หลานผมเอง



วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดงานของฉัน ปกติตัวเองไม่มีวันหยุดกับเขาหรอก ด้วยมีอาชีพค้าขาย วันนี้นึกเบื่อๆ ขึ้นมาเลยหยุดสักวัน แต่ครั้นหยุดจริงๆ ก็นึกรำคาญที่จะนั่งๆ นอนๆ ดูทีวีอยู่กับบ้าน จึงโทรศัพท์ไปชวนเพื่อนไปเที่ยวห้างกันดีกว่า เพื่อนคนนี้ชวนไปไหนไม่เคยพลาดสักครั้ง เรานัดเจอกันที่ห้างแห่งหนึ่งตอนเที่ยง สองคนเดินชอปปิ้งได้ของมาหลายอย่าง พอถึงเวลากลับ เกิดเมื่อยกันซะแล้ว คงโหนรถเมล์ไม่ไหวแน่ แถมข้าวของพะรุงพะรัง จึงตกลงใจเรียกแท็กซี่ บ้านเรา 2 คนอยู่ทางเดียวกันไปด้วยกันได้ พอแท็กซี่ผ่านมาฉันรีบโบกให้จอด แต่เพื่อนฉันร้องทัก เอ๊ะ....มีคนนี่ ฉันมองดูเห็นรถว่างเปล่า จนแท็กซี่คันนั้นหักหัวเข้ามาหาเรา ไม่มีใครเลยนอกจากคนขับ ตกลงสถานที่ให้ไปส่งแล้วเราก็เข้าไปนั่งในรถ พอรถออกเพื่อนฉันถามทันทีว่าลุง เมื่อกี้ฉันเห็นมีคนนั่งในรถลุงน่ะ เห็นจริงๆ ด้วย ลุงคนขับหันมายิ้มให้นิดหนึ่ง แกมองดูกระจกรถพร้อมกับตอบคำถาม ที่คุณเห็นเป็นผู้ชาย ใส่เสื้อสีขาวใช่ไหมครับ คำตอบของแกทำให้ฉันกับศรีขนลุก ฉันรีบถามแกทันทีว่าเป็นใคร แต่เพื่อนกระตุกแขนฉันพลางว่า บ้าเหรอ ยิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย ลุงคนขับแท็กซี่รีบตอบ ไม่ต้องกลัวหรอกครับคุณ คนที่คุณเห็นนั้นเขามาดี เขาช่วยคุ้มครองผมและผู้โดยสารให้ปลอดภัย



ลุงแท็กซี่เล่าให้ฟังว่า ที่คุณเห็นน่ะ เขาเป็นหลานชายผมเอง แม่เขาตายตั้งแต่เขาเกิด พ่อทิ้งไปมีเมียใหม่ ผมเวทนาเลยรับมาเลี้ยงดูลุงแกเล่าต่อไปเรื่อยๆ ไอ้สมธรรม เออ..เขาชื่อนี้น่ะครับ นิสัยมันเรียบร้อย แต่สมองไม่ค่อยดี เรียนไม่เก่ง ผมเลยให้มันอยู่บ้านคอยช่วยหยิบจับอะไรตามผมสั่ง ต่อมาไม่นาน มันถูกผีเข้า เป็นผีแถวจอมปลวกเขาว่ามันไปกวนไปยุ่งเขา ทำให้เขาโมโหอาฆาตว่าจะต้องตามเอาชีวิตมันให้ได้ อยู่ๆมันก็มีอาการไม่พูดไม่จาตาขวางหลบหน้าคน จึงคิดว่ามันโดนดีแน่ ผมพอมีวิชาอยู่บ้างเลยใช้อาคมไล่ จนได้รู้ว่าเป็นผีเจ้าที่ไหน แต่ผีตัวนี้มันแรงผมเอาไม่ไหว ช่วยได้เพียงครั้งแรก พอมันออกจากร่างได้สัก 2-3 วัน มันก็มาเข้าใหม่ ผมก็ลองดูหลายทางน่ะ แต่ที่สุดก็แพ้มัน มันเอาไอ้สมธรรมไปจนได้



เพื่อนฉันรีบถาม เอาไปแบบไหนลุง



ลุงแท็กซี่เล่าด้วยเสียงสั่นเครือ ก็ทำให้มันผูกคอตายน่ะครับ พอหลานตายแล้วผมก็ไม่อยากอยู่ที่นั่น ถามความเห็นเมียเขาก็ไม่อยากอยู่ เลยพากันเข้ากรุงเทพฯ ก็มาได้อาชีพขับรถนี่แหละ ขับมา 3 ปีแล้ว ทีนี้พอผมย้ายมาก็เก็บกระดูกเขามาด้วย คือพอเผาแล้วจะทิ้งกระดูกไว้ที่วัดก็สงสาร กลัวเขาไม่มีที่อยู่ เลยบอกเขาให้ตามมาอยู่ด้วยกัน แล้วเก็บกระดูกเขามาส่วนหนึ่ง อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เขาตามผมไปทุกแห่ง เวลาผมจะกินข้าวก็บอกเขาก่อนให้กินด้วยกัน



แบบนี้ถ้าผู้โดยสารจะเรียกรถลุง เขาเห็นมีคนนั่งอยู่ก็ไม่เรียกน่ะซิดิฉันทัก

ไม่เห็นทุกคนหรอกครับ คนที่จะเห็นต้องมีญาณสัมผัสกับสิ่งนี้ได้ อย่างคุณผู้หญิงคนนี้ แกบอกพร้อมกับชำเลืองไปทางเพื่อนฉัน แต่จริงน่ะ...ฉันไม่เห็นใครเลยตอนโบกรถแก แต่เพื่อนฉันกลับเห็น

เขามาหยอกเล่น



เรื่องนี้เกิดที่จังหวัดตรัง ที่บ้านสามีของดิฉัน บ้านสามีของดิฉันเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ดิฉันและสามีอยู่ชั้นล่าง ชั้นบนเป็นห้องของ พ่อ-แม่ ของสามี และน้องผู้หญิงอีก 2 คน

ดิฉันอาศัยอยู่กับสามีมา 3 ปี ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น และยังประทับอยู่ในความทรงจำตลอดมา คือปกติดิฉันจะห้อยหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้เป็นประจำ เพราะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน วันหนึ่งสร้อยขาดยังไม่ได้ซ่อม ตกกลางคืน คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด เวลาประมาณตี 2 กว่า สามีของดิฉัน กับพ่อ-แม่ของสามี ออกจากบ้านไปกรีดยางเหมือนทุกวัน ดิฉันนอนหลับอยู่คนเดียวที่ฉันล่าง มารู้สึกตัวอีกทีปรากฏว่าที่รอบคอของฉันมีมือมาโอบและลูบเล่น มือนั้นเย็นมาก ตอนแรก ฉันคิดว่า เป็นน้องของสามีที่นอนอยู่ชั้นบนลงมาแกล้ง ก็เรียกชื่อน้อง แต่เรียกไปไม่มีเสียงตอบกลับมาได้ยินแต่เสียงเดิน จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น พยายามเพ่งดูในความมืด เห็นลางๆ คล้ายๆ เด็กผู้ชาย ดิฉันตกใจมาก ตะโกนเรียกน้องของสามี แต่ก็ไม่มีใครลงมาจากชั้นบน ดิฉันจึงเริ่มสวดมนต์ จนสามารถลุกได้ สิ่งแรกที่ทำเมื่อลุกได้คือ รีบวิ่งไปเปิดไฟ และรีบเดินไปหยิบสร้อยหลวงพ่อทวดที่ขาด เวลาตอนนั้นประมาณตี 4 กว่า ดิฉันเปิดไฟนอนอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร จึงนอนต่อโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก



เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนกลับมาพร้อมหน้า ดิฉันจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง แม่ของสามีได้เล่าว่า ที่ชั้นบนมีรูปสลักไม้เด็กผู้ชายซึ่งมีคนนำมาให้ ท่านคิดว่าเป็นลูกกรอกนำโชคมาให้ ท่านก็เลี้ยงไว้ แม่ของสามีบอกว่าท่านลืมบอกไปว่าดิฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ด้วย เด็กไม่ทราบก็เลยมาหยอกเล่น ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่ก็ทำให้ดิฉันเกือบหัวใจวายตาย คิดถึงมือเย็นๆ ที่โอบรอบคอ มันเป็นสัมผัสที่ตราตรึงไม่อาจลืมเลือนได้



ดิฉันคิดว่าเป็นเพราะหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ที่ดิฉันห้อยอยู่ทุกวันจึงทำให้ไม่เจอเหตุการณ์อะไรที่ผิดปกติตลอด 3 ปีที่อยู่บ้านสามี แต่พอไม่ได้ห้อยท่าน 1 คืน ก็เกิดเรื่องทันที ดิฉันจึงแขวนท่านตลอดมา เข็ดจริงๆ