วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ภูตนรกในโรงแรม

เชื่อถือกันมานานแล้วว่าโรงแรมเก่าๆผีดุที่สุด ขนาดดุร้ายน่าสยดสยองยิ่งกว่าผีในวัดหรือในโรงพยาบาลก็แล้วกัน สาเหตุเพราะมีคนคิดสั้นฆ่าตัวตายกับถูกฆ่าตายในโรงแรมน่ะซี


ทำไมผีในโรงแรมจึงดุร้ายที่สุด?
คำตอบคือ คนที่คิดจะฆ่าตัวตายมักจะมีจิตใจหดหู่ เศร้าโศกสุดๆ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ถ้าไม่รักตัวเองมากก็เกลียดชังตัวเองสุดขีด อยากจะทำลายให้วอดวายไปในพริบตา เพราะเห็นว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีความหมาย พ่ายแพ้ไปตลอดกาล...วิญญาณหดหู่ ชิงชังโลกทั้งโลก จึงสิงสู่อยู่ที่นั่น!

ผมไม่ค่อยได้ไปพักโรงแรมนัก เพราะบ้านช่องก็อยู่ในกรุงเทพฯนี่เอง นานๆถึงจะออกต่างจังหวัดซักครั้ง ส่วนมากก็มักไปเที่ยวเตร่ใกล้ๆ แบบไปเช้ากลับเย็น ส่วนน้อยถึงจะค้างคืน ต้องผจญภัยกับภูตผีปีศาจในโรงแรม... แต่น่าแปลกอย่างที่แคล้วคลาดมาทุกครั้ง จนกระทั่งถึงครั้งล่าสุดที่หัวหิน...


โอ้โฮ! เรื่องผีๆ สางๆ ในโรงแรมที่เคยได้ยินได้ฟังมาน่ะ กลายเป็นผีเด็กๆไปเลยครับ อย่างที่คุณๆก็คงเคยผ่านหูผ่านตามามั่งละน่า เช่นมีเสียงเคาะประตูกลางดึก แต่พอลุกไปเปิดก็ไม่เห็นมีใครซักคน...ก็ผีน่ะซี!

ที่น่ากลัวหน่อยก็คือเราอยู่คนเดียวแท้ๆ กำลังอาบน้ำอยู่ด้วยโดยเปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อน แต่จู่ๆทีวีเจ้ากรรมนั่นดันผ่าเปลี่ยนช่องได้เองซะงั้น เหมือนกับมีใครที่ไม่ได้รับเชิญดอดเข้ามากดรีโมตเล่นแก้เหงา แต่พอเปิดประตูพรวดพราดออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ

ขอยืนยันครับว่าเป็นผีเด็กๆ ของจริงที่ผมเจอะเจอมาน่ะโคตรผีดุของจริงเลยคุณ!

พวกเรานัดชุมนุมศิษย์เก่าร่วมรุ่นไปเที่ยวต่างจังหวัดกันปีละหนสองหน คราวนี้ก็ยกโขยงไปสามสิบกว่าคนชนิดเกือบเต็มรถบัสละครับ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศกับพบปะเฮฮากันตามประสาเพื่อนเก่า แต่พวกคอสุราก็อ้างว่าเพื่อเปลี่ยนสถานที่ซดเหล้าน่ะ ไม่ใช่อะไร

โรงแรมที่เราพักค่อนข้างเก่า แต่ทาสีใหม่เอี่ยม ดีอย่างที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่นคล้ายรีสอร์ต มีทางเดินคดเคี้ยวไปสู่ชายหาดสีทอง ตอนเย็นๆ เห็นเด็กๆวิ่งเล่นไล่กันยาวเหยียด ไปจนถึงเขาตะเกียบโน่น...ผมพักชั้น 5 ห้องเดียวกับเจ้าเมธที่เป็นโสดชั่วคราวทั้งคู่

ตกเย็นก็ตั้งโต๊ะกันที่ชายหาด มีเสียงเพลงขับกล่อม พอค่ำหน่อยก็เล่นคาราโอเกะให้พวกบ้าไมค์ทั้งหลายเข้าคิวกันโก่งคอแข่งกับ เสียงคลื่นเสียงลมที่ซัดหาดไม่หยุดหย่อน วิสกี้, ไวน์, บรั่นดี ซดกันไม่ยั้ง ซีฟู้ดล้วนๆ ช่วยให้การดื่มกินลื่นไหล เสียงเพลงคณะบรรเลงบรรลัย แต่ไม่ถึงกับบรรเลงที่ไหนบรรลัยที่นั่น ก่อนตบท้ายด้วยข้าวต้มอุ่นท้อง...จนกระทั่งเกือบห้าทุ่มถึงได้ทยอยกันเดิน กลับโรงแรม ผลัดเสื้อผ้าได้ก็ขึ้นเตียงเพราะซัดกันเข้าไปหลายขนาน ...หัวถึงหมอนก็หลับสนิท

เวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็สุดรู้ ผมมาตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะความหนาวเย็นจับใจ กับเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ดังมาจากเตียงข้างๆ แสงไฟจากภายนอกด้านชายหาดส่องผ่านกระจกที่ไม่ได้รูดม่านเข้ามา...หันไปมอง เพื่อนที่นอนเตียงใกล้ๆกัน มีโต๊ะเตี้ยๆคั่นหัวเตียง...คุณพระช่วย! เจ้าเมธกำลังร้องไห้น้ำตาไหลพรากเหมือนเด็กๆ

"เมธๆ เป็นอะไรวะ? ฝันร้ายหรือละเมอ?" ผมร้องถาม แต่เจ้าเมธไม่ตอบ นัยน์ตาลืมโพลงเหมือนคนตาค้าง ทำให้ผมเงยหน้ามองตามมันขึ้นไป ก่อนจะชาวาบไปทั้งตัวบัดดล!

นรกเป็นพยาน! ใบหน้าดำทะมึน นัยน์ตาแดงจ้าของภูตนรกล่องลอยอยู่เหนือใบหน้าเพื่อนผมราวสองฟุต ก่อนจะหันขวับมาทางผม ส่ายไปมาคล้ายงูเลื้อย...ลำตัวของมันห้อยลงมาจากเพดานห้องนอนนั่นเอง

คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด! น้ำตาผมไหลพรากลงมาอาบหน้า เนื้อตัวแข็งชาเหมือนกลายเป็นแท่งหิน ไม่อาจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เลย นอกจากนอนแน่นิ่ง ปากสั่นริกๆ ก่อนจะแผดร้องสุดเสียง...โอ๊ย! ช่วยด้วย!!

อาจจะเป็นคลื่นเสียงก็ได้ที่ทำให้ใบหน้าอุบาทว์นั่นหดกลับ หายลับขึ้นไปบนเพดานตามเดิม! เสียงดังลั่นนั้นทำให้เราได้สติ เด้งตัวผางขึ้นมาได้...จะภาพหลอนหรือของจริงก็ช่างเถอะแต่เราขอเผ่นออกจาก ห้องนอนไม่คิดชีวิต...อาศัยล็อบบี้เป็นที่ซุกหัวนอนจนรุ่งเช้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น