วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

“เมฆ” ลบลายอดีตเพลย์บอย ลั่นแต่งเมียปุ๊บปั๊มลูกแฝดทันที

“เมฆ” แต่งเมียแน่ต้นปีหน้า เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือรอแค่ฤกษ์ที่แน่นอน ลั่นพร้อมมีลูกแฝดเลย เผยลบลายเจ้าชู้ออกหมด เพราะใช้ชีวิตหนุ่มสำราญมาเยอะแล้ว รับว่าที่ภรรยาเป็นคนขี้หึงแต่มีเหตุผล


ห่างหายจากงานในวงการบันเทิงไปซะนาน สำหรับอดีตพระเอกเจ้าของฉายาลิ้นสว่าน “เมฆ วินัย ไกรบุตร” ที่เมื่อไม่นานมานี้ได้ออกมาประกาศว่า เตรียมแต่งงานกับสาวนอกวงการ “เอ๋ ชลลดา แสนสินรังษี” ที่พบรักกันทางอินเทอร์เน็ตในต้นปีหน้านี้ ล่าสุดมีโอกาสได้เจอตัวหนุ่ม “เมฆ” อีกครั้ง เจ้าตัวเผยถึงความคืบหน้าในการเตรียมงานแต่งว่า พร้อมทุกอย่างแล้ว เหลือแค่รอฤกษ์งามยามดีเท่านั้น

“เรื่องแต่งงานคิดว่ายังไงก็ไม่เกินต้นปี ไม่เกิน 5 เดือนแรกแน่นอน คบกันมาปีนึงก็คิดว่าถึงเวลาแล้วครับ สำหรับผมมันไม่เร็วไปนะ ถ้าเกิดให้กันดูอีก 5 ปีคงผมไม่ไหว ปีนึงน่าจะพอ แล้วก็คิดว่าคนนี้คุยกันรู้เรื่อง ทุกอย่างลงตัวก็น่าจะโอเค ตอนนี้น้องเขาก็อยู่กรุงเทพฯ ทำงานอยู่ที่เซ็นทรัลพระรามสามเกี่ยวกับเรื่องของออแกนิกเกี่ยวกับผม เกี่ยวกับความสวยความงาม เป็นธุรกิจของเขาเองครับ ซึ่งถ้าแต่งเราก็จะจัดพิธีที่กรุงเทพฯด้วย แล้วก็กลับไปจัดที่บ้านเขาที่กระบี่ด้วย ให้เกียรติที่บ้านเขาครับ เรื่องโรงแรมดูไว้แล้ว แต่ยังไม่สรุปว่าที่ไหน ของชำร่วยก็ดูแล้ว เตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงรอโรงแรมและรอฤกษ์เท่านั้นเอง เจ้าสาวตื่นเต้นไหม ผมว่าก็คงตื่นเต้นนะ ผมเองก็ตื่นเต้น เพราะไม่เคยคิดจะแต่งงานเหมือนกัน(หัวเราะ)”

“เรื่องลูกก็คงจะมีเลยครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้แฝดสองเลย ผู้หญิงผู้ชายก็แล้วแต่เลยครับ ที่อยากมีเลยเพราะกลัวตัวเองจะมีไม่ได้ แต่ไม่ได้ปรึกษาหมอหรอกครับ เอาตามธรรมชาตินี่แหละ แต่แต่งแล้วก็อยากมีเลย จริงๆ ก็ไม่มีใครในครอบครัวเคยมีลูกแฝดนะ แต่ตั้งใจไว้ทีเดียวขอสองเลย จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก(หัวเราะ) พร้อมเลี้ยงครับ ยินดีเลย ในเมื่อตั้งใจจะมีก็ต้องรับผิดชอบต้องดูแลเขา เอ๋ก็คงแฮปปี้ล่ะครับผมว่า”

“ส่วนข่าวความเจ้าชู้ในอดีตของผม อันนี้ก็คุยกับเขาแล้ว เราคุยกันหมดครับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเราต้องละทิ้ง ผมก็จะทิ้งของคุณ คุณก็ทิ้งของผมไม่ต้องมาถาม ถ้าอะไรที่ผ่านไปแล้วก็คือจบ ไม่ต้องมารื้อ ถ้าจะคบกันก็ต้องทิ้ง ถ้าไม่ทิ้งก็คบกันไม่ได้ อดีตก็คืออดีต ซึ่งผมก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเยอะครับ เพราะเราเที่ยวมาเยอะแล้ว เราเลอะเทอะมาเยอะ คือเราก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นผู้ชายที่ดีขนาดนั้น ผมไม่ได้เป็นผู้ชายที่ดี ก็เคยเที่ยวมาเยอะ เที่ยวจนรู้สึกว่าพอแล้ว เราก็ยอมรับว่าไม่ใช่คนดีขนาดนั้น แต่หลังจากนี้ไปเราก็คงไม่ไปขนาดนั้นแล้ว เราหลุดไปเยอะแล้ว”

“ตอนนี้ก็คงปรับตัวเพื่อจะใช้ชีวิตครอบครัว เพราะอายุเราก็เยอะแล้ว ไม่ควรจะไปอะไรขนาดนั้นอีก ตอนนั้นเราก็ยังวัยรุ่น ซึ่งตอนนี้เขาก็เชื่อเรา เราก็เชื่อเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่แต่งกัน แต่ก็ยอมรับว่าเขาก็มีความขี้หึงเหมือนกัน แต่เป็นหึงแบบมีเหตุผล คุยกันรู้เรื่อง คือถึงอายุเราจะห่างกัน 10 ปี แต่เรื่องช่องว่างระหว่างวัยไม่มีหรอกครับ เขาเป็นคนทำงานทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นเวลาคุยกันเขาจะเข้าใจเร็วมาก เขาไม่ใช่เด็กๆ ตอนนี้ผม 40 เขา 30 ก็พอดีครับ เพราะผู้หญิงแก่เร็วกว่าผู้ชาย พอแต่งไปอาจจะเท่าๆ กัน(หัวเราะ)”

เผยหวนกลับมาเล่นภาพยนตร์อีกครั้งหลังจากที่หายไป 3 ปี บอกต้องรื้อวิชาใหม่หมด แต่ก็ปลื้มใจที่เรื่อง “ซามูไรอโยธยา” ได้เล่นเป็นองค์ดำหรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพราะตนให้การสักการบูชากราบไหว้มานานแล้ว

“เรื่องนี้เป็นหนังที่เกี่ยวกับนักรบขององค์ดำมีประมาณเกือบ 40 คน องค์ดำจะมีนักรบสมัยก่อนเป็นซามูไร ตัวผมเล่นเป็นองค์ดำ จริงๆ แล้วรู้สึกว่ามันท้าทายแล้วก็ยากพอสมควร เพราะว่าการเป็นองค์ดำท่านไม่ใช่ทหาร เพราะฉะนั้นคำพูดไดอะล็อกทุกคำจะต้องเนียนมากๆ เพราะต้องรักษาบทบาทตรงนี้ไว้ คาแรคเตอร์ตรงนี้ไว้ให้ท่านด้วย คาแรคเตอร์ก็คือเป็นคนรักชาติ รักแผ่นดิน และเป็นนักรบที่แท้จริง แล้วมีความเสียสละ บทก็เด่นครับแต่เป็นแค่รับเชิญ ไม่ได้เล่นเต็มตัว แต่ที่กลัวคือเรื่องคำพูดว่าจะไม่เหมาะสม เพราะผมก็ไม่เคยเล่นเป็นองค์ดำมาก่อน”

“ก็ห่างหายจากงานภาพยนตร์ไปประมาณ 3 ปีครับหลังจาก ปืนใหญ่จอมสลัด ก็ต้องอินใหม่ ต้องดัดแปลงเรื่องคำพูด เพราะว่าคำพูดไม่เหมือนสมัยก่อน คำพูดไม่เหมือนนักรบ คำพูดจะเป็นกษัตริย์ เพราะฉะนั้นคำพูดแต่ละคำค่อนข้างจะคมหนัก ค่อนข้างที่จะซีเรียสพอสมควร แต่ถามว่าตื่นเต้นไหมกับบทนี้ จริงๆ แล้วเคยได้รับการติดต่อเรื่ององค์ดำมาหลายรอบ เคยเล่นแสงสีเสียง แต่ในหนังไม่เคย เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ได้เล่นเป็นองค์ดำ ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจของตัวเอง ที่เราได้เล่นเป็นตัวแทนของท่าน ก็ภูมิใจ”

“สำหรับผมก็ได้กราบไว้ท่านบ่อยครับ อย่างองค์ดำผมกราบไหว้ท่านมาตลอด และนับถือมาตลอดตั้งแต่สมัยเล่น บางระจัน และผมคิดว่าที่ผมได้มาเล่นเรื่องนี้ คงเพราะบุคลิกและเรื่องอายุคงได้ เรื่องหน้าตา แล้วก็เรื่องความเด่นของความเป็นชายไทย ก็อยากลองดูครับ อย่างพี่มด(นพพร วาทิน) เองก็ตั้งใจที่จะสื่อความเป็นมวยไทยที่กำลังจะหายไป คือกำลังสื่อให้คนไทยรู้ว่าของดีของคนไทย ถ้าพูดถึงเมืองไทยนี่คือมวย เขาจะสื่อเรื่องมวย เพราะฉะนั้นผมว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเปิดตลาดหนังต่างประเทศได้ ที่คนต่างชาติจะหันมาสนใจมวยไทยมากขึ้น ตอนที่ผมไปเมืองนอกมาก็เจอค่ายมวยไทย ที่รับสอนมวยไทย ไปถึงเยอรมันก็มี แสดงว่ามวยไทยได้รับความสนใจพอสมควรครับ”

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น