วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

ห้องอุบาทว์

ทีแรกผมก็ไม่เชื่อคำพูดเก่าๆ ที่ว่า คนแก่กับเด็กๆ และคนเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีโอกาสโดนผีหลอกมากที่สุด ผมคิดว่าเป็นความเชื่อเลอะๆ หรืองมงายมากกว่า จนกระทั่งเจอะเจอเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ

คราวนี้ผมเชื่อสนิทเลยละครับ

เรื่องนี้ถ้าจะพูดถึงเหตุผลก็เข้าเค้าไม่น้อย ตอนแรกผมลืมคิดไปว่าบุคคลสามประเภทที่อาจจะถูกผีหลอกหลอนได้ง่ายๆ นั้น เพราะร่างกายอ่อนแอ กำลังใจหรือพลังจิตก็เลยอ่อนลงไปด้วย เปิดโอกาสให้ภูตผีปีศาจเข้ามาปรากฏให้เห็นได้อย่างง่ายดายที่สุด

อาชีพขับแท็กซี่ทำให้ผมเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แม้จะไม่ร่ำรวยหรือสุขสบาย แต่ก็ไม่ถึงกับอดอยากปากแห้ง ถึงจะต้องเช่ารถเถ้าแก่ขับกะกลางคืนไปถึงตี 2 ตี 3 แต่ก็เคยชินเสียแล้วครับ แถมร่างกายในวัยหนุ่มก็แข็งแรง

ห้องเช่าผมอยู่ใกล้ๆ อู่ที่ห้วยขวาง ใกล้ๆ กับถนนสุทธิสาร เพื่อนฝูงอาชีพเดียวกันมาเช่าอยู่หลายคน ผมอยู่ห้องชั้นสองใกล้ๆ กับห้องน้ำ เลยสะดวกสบายตามสมควร...จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้โดยสารสาวสวยขึ้นรถที่สะพานควายไปโรงพยาบาลราชวิถี บอกว่าเป็นไข้หวัด...ไอแค่กๆ ตลอดทาง

สรุปว่าผมติดหวัดจากเธองอมพระราม ต้องไปหาซื้อยาที่ร้านหมอตี๋แถวนั้น ขับรถไม่ไหว ต้องนอนซมอยู่ในห้องทั้งวัน ปากคอขมไปหมด แต่ยังดีที่พอจะไหว้วานเพื่อนข้างห้องไปซื้อโจ๊กซื้อข้าวต้มปลามากินได้

คืนแรกก็เจอดีเลยแหละคุณ!

ราว 4-5 ทุ่มได้ ผมนอนเหงื่อออกจนเสื้อผ้าชุ่มโชกไปหมด อาศัยความรู้นิดๆ หน่อยๆ ว่าพิษไข้ออกมากับเหงื่อ ยิ่งออกมากยิ่งดี เลยลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเหนอะหนะ แล้วสวมเสื้อยืดหนาๆ ให้อุ่นอกเข้าไว้ กินโอวัลตินกับขนมปังสองแผ่น...ไม่ได้หิวโหยหรืออยากกินหรอกครับ แต่ว่าได้เวลากินยาหลังอาหารค่ำน่ะ

เสร็จสรรพว่าจะเข้าห้องน้ำตามที่พอรู้ว่า อย่าให้ท้องผูก กับการระบายของเหลวออกจากร่างกายก็เป็นการช่วยให้หายไข้หวัดเร็วขึ้น...

เสียงใครอาบน้ำซ่า...ดังแว่วมาเข้าหู!

ตอนแรกผมนึกว่าใครมาอาบน้ำในห้องใกล้ๆ แต่เอ...มันดังมาจากในห้องผมเองทั้งๆ ที่ไม่มีห้องน้ำซักห้อง...คงจะเป็นเพราะพิษไข้หรือฤทธิ์ยาทำให้ประสาท ฟั่นเฟือน หูอื้อจนฟังอะไรเลอะเลือนไม่ได้ศัพท์ละมั้ง?

รอจนเสียงนั้นเงียบหายไป ผมเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าตากับเนื้อตัวแล้วกลับมาปิดไฟนอนห่มผ้านิ่งๆ ได้ชั่วครู่ก็รู้สึกว่ามีผู้ชายเดินเข้ามาในห้อง พูดจาอะไรเบาๆ กับใครก็ไม่รู้...สุ้มเสียงบอกว่าลิ้นไก่สั้นนิดหน่อย ก็คงจะเมามาได้ที่แล้วแหละ...

ว่าแต่พิษไข้ทำให้ผมเพี้ยนไปขนาดนี้เชียวเรอะ? มองเห็นอะไรเป็นตุเป็นตะไปได้

อ้าว? ผู้ชายคนนั้นถอดเสื้อกางเกงออกแล้ว ยังดีที่มีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างไม่ถึงกับอุจาดเกินไป...ว่าแต่เขากำลังคุยกับใคร หัวเราะหัวใคร่ เอื้อมมือไปไขว่คว้า ทำท่ากอดจูบความว่างเปล่าอยู่ใกล้ๆ เตียงผมเอง

เอ...นี่มันฝันหรือจริงกันแน่? พิษไข้ล้วนๆก็ไม่รู้ซีครับ แต่เขาทำท่ากอดประคองใครลงนอนข้างๆ ผม...ผมยุ่ง นัยน์ตาแดง หน้าเยิ้มเหงื่อดูเป็นมันย่อง ดูหื่นห่ามไปหมดทั้งหน้าตาและท่าทาง ก่อนจะพลิกร่างขึ้นมายงโย่ยงหยกเหมือนกันว่าเขากำลังจะ...จะ...

เฮ้ยๆ ๆ นี่อะไรกันวะ? ใครมาทำสัปดนอยู่บนเตียงผมตำตา!

ฉับพลันทันใด ร่างนั้นก็ฟุบฮวบลง หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก...ไม่ใช่ความสุขสุดๆ นะครับ อย่าเข้าใจผิด แต่เห็นชัดว่าเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีด ผมได้ยินเสียงคล้ายสำลักลมหายใจ ก่อนที่ร่างนั้นจะหล่นลงไปข้างเตียง

นรกเป็นพยาน! ผมลืมความเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวเองสิ้นเชิง ลุกพรวดขึ้นมานั่งจ้องมองอย่างตะลึงงัน...

ร่างนั้นดิ้นทุรนทุรายไม่ถึงอึดใจก่อนจะแน่นิ่ง นัยน์ตาเหลือกลานเบิกโพลง ปากอ้าค้างเหมือนโพรงถ้ำล้ำลึก...ก่อนจะค่อยๆ ละลายหายไป กลายเป็นความว่างเปล่าตามเดิม

ให้ตายเถอะ! จะเพราะพิษไข้หรือเปล่าผมไม่แยแสอีกแล้ว แต่กระโดดผลุงไปที่ประตู ถอดกลอนมือไม้สั่นระรัว...เผ่นอ้าวลงไปที่ห้องพนักงานต้อนรับทันใด...คนขับแท็กซี่ที่ผมเห็นหิ้วสาวเข้ามาในห้องนั้นจนหัวใจวายน่ะซีครับ! บรื๋ออออ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น