บ้านหนูอยู่ถนนสุโขทัยนี่เองค่ะ ตอนเรียนชั้นประถมโรงเรียนก็อยู่ไม่ไกลบ้านนัก แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้หนูกลับบ้านเอง ต้องให้น้าอ๋อยน้องสาวแม่ขับรถมารับ เพื่อนๆ หนูเดินกลับบ้าน หรือไม่ก็ขึ้นรถเมล์ รถตุ๊กตุ๊ก หนูว่าสนุกดีกว่าต้องมานั่งแกร่วรอที่ริมสนามด้วยซ้ำ
พ่อแม่ต้องไปทำงานทั้งคู่ เคยบอกว่าสมัยนี้รถรามากเหลือเกิน อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นบ่อยๆ แม่ยืนยันว่าไม่ยอมให้หนูไปกลับคนเดียวเด็ดขาด แต่จะให้มีรถรับส่งจนถึงที่สุด ไม่ว่าหนูจะเรียนถึงชั้นไหนก็ตาม แม่ยืนยันว่า
ถ้ากุ้งเป็นอะไรไป แม่มีหวังขาดใจตายตามลูกไปแน่ๆ เลย!
ตกเย็นหนูกับเพื่อนๆ อีก 3-4 คนที่ต้องรอ "รถบ้าน" มารับก็จะจับกลุ่มกันที่เก้าอี้ใต้ต้นปาล์ม มองดูพวกเด็กรุ่นน้องป.2-ป.3 วิ่งเล่นกันที่สนาม ส่งเสียงเกรียวกราวสิบกว่าคน...ส่วนมากจะรอให้พ่อแม่มารับบ้าง รอขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้านบ้าง ไม่ช้าก็จะทยอยกันไปจนบางตาลงทุกที
พวกเราชอบจับกลุ่มคุยกันเรื่องผี เพราะได้ยินแม่ค้ากับพ่อค้าหน้าโรงเรียนคุยกันเรื่องผีดุบ่อยๆ คุณครูก็เคยคุยกันจนพวกหนูได้ยินว่าถนนหน้าโรงเรียนเราเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก จนมีคนตายไปหลายรายแล้วค่ะ
เขาว่าผีตายโหงจะดุร้ายมากที่สุด แถมวิญญาณยังสิงสู่วนเวียนอยู่ที่ตัวเองขาดใจตายด้วยซีคะ!
วันหนึ่งหนูก็เจอกับเรื่องขนหัวลุกเข้าอย่างจัง!
เย็นนั้นฟ้าครึ้มฝน แสงแดดหายไปหมด ลมพัดอู้จนเศษกระดาษปลิวว่อน ยอดไม้โยกกิ่งใบเสียงซู่ซ่าน่ากลัว ผู้ปกครองทยอยเข้ามารับเด็กๆ ออกไปเกือบหมด เพื่อนหนูก็เหลืออยู่แค่สองคนคือดวงใจกับปริศนา...เรามองออกไปที่ถนนก็เห็น รถราติดกันเป็นแพเชียวค่ะ
เจ้าประคู้น! ขออย่าให้ฝนตกเลย ดวงใจโพล่งขึ้น ถ้าฝนตกมีหวังรถติดจนต้องรอหง่าวไปถึงค่ำแน่ๆ
ลมแรงๆ ยังงี้ฝนคงไม่ตกหรอก ปริศนาอวดรู้ กลัวแต่ต้นไม้จะหักโค่นลงมาทับรถพัง ทับคนตายน่ะซี
เสียงฟ้าคำรามครืนๆ จนพวกเราสะดุ้งโหยง สายฟ้าแลบวาบจนหนูหลับตาปี๋ รีบยกสองมืออุดหู ตามด้วยเสียงผ่าเปรี้ยงจนเราร้องวี้ดว้ายอย่างลืมตัว!
หนูลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นพวกพ่อแม่ที่เดินเข้ามามองหาลูก บ้างก็กำลังจูงกันเดินแกมวิ่งออกไป ผู้ปกครองบางคนก็เพิ่งจะโผล่เข้ามา...ดวงใจคว้ากระเป๋าโดดผลุง...คุณพ่อของ เธอมารับแล้วน่ะซีคะ...เหลือแต่เราสองคนหันมองสบตากัน ถอนใจเฮือก...
หันไปอีกทีก็เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังจูงมือกันเดินผ่านหน้าเราไป...เสียงฟ้า คำรามครืนๆ น่ากลัว แม่ลูกคู่นั้นไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวใต้ต้นมะม่วงริมรั้ว เด็กหญิงอายุราว 6-7 ขวบชี้มือไปที่แผงขายของกินนอกรั้ว แต่แม่ส่ายหน้า
หนูเดาว่าเด็กคงจะรบเร้าให้แม่พาไปซื้อขนมและของเล่นสารพัดชนิด แต่แม่คงจะไม่ตามใจเป็นแน่
ทำไมเขายังไม่กลับบ้านนะ? ปริศนาถามลอยๆ เพราะมองดูอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นเหลือเด็กๆ ที่รอผู้ปกครองมารับไม่ถึงสิบคนแล้ว หนูบอกว่าสองแม่ลูกคงจะรอพ่อเข้ามารับเป็นแน่ ตอนนี้คงหาที่จอดรถให้เรียบร้อยเสียก่อน
ทันใดนั้นเอง ผู้เป็นแม่ก็ลุกขึ้นยืน ฉุดมือลูกสาวให้ลุกขึ้นตาม...แทนที่จะเดินไปทางประตูรั้ว คนทั้งสองกลับเดินช้าๆ ผ่านเราไปยังทางเข้าห้องเรียน...แม่จูงมือลูกไว้ แต่หนูนึกสงสัยที่ไม่เห็นกระเป๋าหนังสือเลย ไม่ว่าในมือแม่หรือมือเด็ก
สองแม่ลูกหันมามองเราช้าๆ ก่อนจะผ่านเลยไป...
หน้าตาขาวซีดที่หันมานั้นช่างผิดมนุษย์มนา เพราะขาวจัดเหมือนกระดาษ ทำให้ขนอุยที่ต้นคอหนูลุกชัน หนาวเยือกไปตามแผ่นหลัง เสียงปริศนาก็ครางออกมาเบาๆ ว่า...อะไรกันน่ะ น่ากลัวจัง?
คุณพระช่วย! สองแม่ลูกเดินเหมือนลอยไปทางเข้าห้องเรียน ก่อนจะจางหายกลายเป็นอากาศว่างเปล่าต่อหน้าต่อตาเรา...ปริศนาหวีดร้องโผเข้ากอดหนูแน่น หนูเองก็กอดเพื่อนไว้ หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ อยากร้องไห้โฮให้สาสมใจ
ต่อมาหนูจึงรู้สาเหตุ...เมื่อเดือนก่อนนี้เอง แม่ขับรถพาลูกสาวตัวน้อยมาส่งที่โรงเรียน แต่เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน...ตายคาที่ทั้งสองคน! วันดีคืนดีก็มีคนเห็นสองแม่ลูกเดินตัวแข็งทื่อเข้าโรงเรียนมาเป็นประจำ...
เวลาผ่านไป 5-6 ปีแล้ว แต่นึกถึงภาพนั้นทีไรหนูขนหัวลุกทุกทีเลยค่ะ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น