วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ซอยวัดใจ
ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ได้ฟังเรื่องผีๆ สางๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ที่นั่นที่นี่ล้วนแต่มีผีดุทั้งนั้น ดุมากบ้างน้อยมาก แต่ส่วนมากน่ะไม่ได้เห็นด้วยตัวเองหรอกนะ...เขาเล่าว่าทั้งนั้นเลย!
แถวบ้านดิฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นชุมทางปีศาจแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ค่ะ
นั่นคือสี่แยกทางรถไฟ ถนนนครไชยศรีตัดกับถนนสวรรคโลก ด้านซ้ายไปสถานีรถไฟสามเสน ด้านขวาไปทางสวนจิตรลดา ไหนจะรถชนกันที่สี่แยก ไหนจะเกิดเรื่องรถไฟชนรถยนต์ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
ที่น่ากลัวมากๆ คือรถไฟทับคนตายคาที่ซิคะ! สมัยก่อนเกิดเรื่องบ่อยมากแถวๆ สะพานดำข้ามคลองสามเสน ที่มีต้นทางจากแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลเลียบวังศุโขทัยมาถึงวัดอัมพวัน, วัดสุคันธาราม...ไหลคดเคี้ยวไปไกลถึงถนนพระรามเก้าโน่นแน่ะค่ะ
มิน่าล่ะ ขนาดห่างจากย่านสามเสนมาไกลโขแล้ว ที่นี่ก็ยังมีชื่อสถานีรถไฟสามเสนเหมือนกัน!
เมื่อราว 2 ปีก่อนก็มีผู้ชายหนุ่มนุ่งกางเกงลายพราง สวมเสื้อคอกลมสีขี้ม้านั่งดื่มเบียร์ที่หน้าร้านในสถานีอยู่ดีๆ รถไฟขาขึ้นเปิดหวูดจากหัวลำโพงจะเข้าเทียบชานชาลาสามเสน ชายผู้นั้นก็วิ่งไปนอนหงายขวางทางรถไฟดื้อๆ
เสียงผู้คนร้องกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายระงมไปหมด รถไฟหยุดไม่ทันแน่ๆ ล้อเหล็กทับแขนขาขาดกระเด็นน่าสยดสยองสิ้นดี ขนาดการรถไฟกั้นทางข้ามแล้วนะคะเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่ห้ามคนฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแน่
ผีทางรถไฟแถวสะพานดำที่เคยซาไปก็กลับดังขึ้นมาใหม่ ตอนกลางคืนมีคนเห็นห้อยโหนโยนตัว หัวขาดขาขาดเป็นประจำ!
ซอยบ้านดิฉันอยู่ใกล้ๆ สี่แยก ตรงข้ามซอยเข้าวัดจอมสุดาราม หรือวัดไพรงามพอดี เป็นซอยเล็กจนทางกทม.ไม่ได้ตั้งชื่อให้ แต่พวกเราเรียกกันเองว่า "ซอยวัดใจ"
ความเล็กของซอยขนาดเข้าได้แต่มอเตอร์ไซค์ ถ้ารถตุ๊กตุ๊ก จะเข้าซอยนี้ต้องมีคนขับเก่งจริงๆ ค่ะ เพราะซ้ายขวาห่างรั้วสูงลิบไม่ถึงศอก ถ้ามีคนเดินอยู่ก็ต้องหยุดเดิน แนบตัวกับกำแพงรั้วเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเฉี่ยวชน
ต้องวัดใจกันว่ารถกับคนใครจะหยุดก่อนกัน? ถึงเรียกว่าซอยวัดใจไงคะ!
ไม่จำเป็นจริงๆ รถตุ๊กตุ๊ก ก็ไม่อยากเข้าหรอกค่ะ แม้ว่าทางแคบที่ว่าจะไม่เกินร้อยเมตร...ต่อจากนั้นก็เป็นทางกว้าง มีซอยเล็กๆ สำหรับคนเดินอยู่ทางซ้าย บ้านช่องแน่นหนา ผู้คนคึกคักพอสมควร
ซอยนี้มีคนเดินเข้า - ออกแทบไม่ขาดระยะ ส่วนหนึ่งใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหาพนะ คนที่เดินก็เดินจนชินแล้ว ล้วนแต่คุ้นหน้ากันทั้งนั้น พูดไปอีกทีก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ
อ้อ! ยกเว้นต้นโพธิ์ที่สุดซอย (ความจริงกลางซอย)
ถ้ามองไปตรงๆ ก็จะเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ ขนาดไม่สูงนักอยู่สุดทางพอดี...แต่ไปถึงจะมีทางเลี้ยวแคบๆ สั้นๆ อยู่ทางซ้ายมือ แล้วเลี้ยวขวาออกไปอีกที เป็นต้นโพธิ์เก่าแก่หลายสิบปีแล้วค่ะ มีฐานปูนล้อมรอบ ชาวบ้านทั่วไปถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำซอย มีคนมาบนบานศาลกล่าวเป็นประจำ
ผ้าแพรสีต่างๆ สดใสเต็มโคนโพธิ์ มีทั้งพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน ที่คนมาบนและแก้บน ร่ำลือกันมานานว่าเจ้าพ่อโพธิ์ให้หวยแม่น มีคนถูกหวยกันบ่อยๆ มาหลายปีดีดักแล้ว
ตอนกลางวันก็ดูสวยงามดีนะคะ หรือจะเป็นเพราะเห็นจนชินตาก็ไม่ทราบ แต่พอตกกลางคืนดูร่มครึ้ม ชวนให้วังเวงใจอย่างไรพิกล!
นอกจากให้หวยแม่น ยังมีเสียงลือว่าผีดุอีกต่างหาก!
บ้านดิฉันอยู่ก่อนถึงต้นโพธิ์ค่ะ พอเดินเข้าซอยพ้นทางแคบได้ไม่ไกลก็เห็นต้นโพธิ์โดดเด่น ไม่มองก็ต้องมองนะคะ...ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าบ้าน แต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรผิดปกติสักครั้งเดียว
ตัวเองไม่กลัวผี ไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้ง แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่า...ถึงไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่นะคะ...ในที่สุดก็เจอดีเข้าจนได้!
เมื่อปลายปีนี้เอง ดิฉันเลิกงานตอนค่ำเพราะต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นปี นั่งรถสาย 14 จากประตูน้ำกลับบ้าน...พอเดินเข้าซอยรู้สึกเยือกเย็นชอบกล นึกได้ว่าเป็นหน้าหนาว แต่ผู้คนไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด คล้ายกับมีเราเดินเข้าซอยคนเดียว
มีรถมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มมาจากข้างหลัง ตอนนั้นใกล้จะพ้นทางแคบที่มีรั้วสูงๆ ขนาบทั้งสองข้างแล้ว ดิฉันแอบเข้าชิดซ้าย...รถคันนั้นก็แล่นหวือผ่านไป แต่ดิฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
คุณพระช่วย! ไม่เห็นรถราสักคันเดียว มีแต่เสียงเท่านั้นเอง!
คงจะเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่า หูฟั่นเฟือน! ประสาทหลอน! ไม่อยากคิดอะไรมาก รีบเดินเร็วขึ้นเพราะรำคาญเนื้อตัว อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเต็มทีแล้ว
ไม่ช้าก็เห็นโพธิ์ใหญ่ต้นนั้นยืนทะมึนอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น น่าแปลกที่เห็นใครนั่งกอดเข่าอยู่บนขอบปูนรอบโคนต้น ฟุบหน้านิ่งๆ คล้ายคนนั่งหลับ...อากาศก็ชักเย็นยะเยือกขึ้นทุกที
ขณะที่จะเลี้ยวเข้าบ้านก็มองดูอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวร่างนั้นก็หายไปแล้ว...หายไปต่อหน้าต่อตาดื้อๆ เล่นเอาดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว...คราวนี้เชื่อสนิทแล้วค่ะว่าเจ้าพ่อโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จริง อย่างน้อยก็ผีมีจริงๆ ไม่อยากหลอกตัวเองว่าตาฝาดแล้วค่ะ!
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ฟอสซิล 4 ล้านปี เก่ากว่า “ป้าลูซี” แย้งความเชื่อวิวัฒนาการคนกับลิง
นัก วิทย์พบโครงกระดูกต้นตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด 4.4 ล้านปี ในเอธิโอเปียบ้านเดียวกันกับ “ลูซี” แย้งความเชื่อคนมาจากลิง นักวิจัยเผยไม่ใช่ทั้งคนและชิมแปนซี แต่มีลักษณะเข้าใกล้บรรพบุรุษร่วมคนกับลิงมากยิ่งขึ้นทุกที สอดคล้องทฤษฎีดาร์วิน
หน้า ปกวารสารไซน์ฉบับพิเศษของเดือน ต.ค. 52 ที่ตีพิมพ์ภาพโครงกระดูก "อาร์ดี" และภายในเล่มได้ตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับการค้นพบโครงกระดูกสิ่งมีชีวิต ตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเป็นครั้งแรก (เอเอฟพี)
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกว่า 10 ประเทศ เปิดเผยการค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกสิ่งมีชีวิตในตระกูลคน (hominid) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา โดยได้ตีพิมพ์รายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ถึง 11 ฉบับลงในวารสารไซน์ (Science) ฉบับพิเศษ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.52 ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความตื่นเต้นอย่างมากแก่วงการนักวิทยาศาสตร์ทางด้านวิวัฒนาการของ มนุษย์และสิ่งมีชีวิต และได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนจำนวนมาก
เอเอฟพีระบุว่า ฟอสซิลดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2535 ในเขตประเทศเอธิโอเปีย และอีก 2 ปีต่อมานักวิจัยจึงสามารถจำแนกได้ว่า เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ในตระกูลคน โดยให้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อาร์ดิพิเธคัส เรมิดัส (Ardipithecus ramidus) และมีชื่อเล่นว่า “อาร์ดี” (Ardi)
โครงกระดูกดังกล่าว เป็นของสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่คาดว่าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม สูงราว 1.2 เมตร และมีอายุเก่าแก่มากถึง 4.4 ล้านปี นับว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ฟอสซิลสิ่งมีชีวิตตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดคือ “ลูซี” (Lucy) ซึ่งจัดอยู่ในสปีชีส์ ออสเตรโลพิเธคัส อะฟาเรนซิส (Australopithecus afarensis) มีอายุ 3.2 ล้านปี พบครั้งแรกเมื่อปี 2517 ในเอธิโอเปียเช่นเดียวกัน แต่อยู่ห่างจากบริเวณที่พบ “อาร์ดี” ออกไปทางตอนเหนือ 72 กิโลเมตร
ซี โอเวน เลิฟจอย (C. Owen Lovejoy) นักมานุษยวิทยาจากเคนท์สเตทยูนิเวอร์ซิตี (Kent State University) มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ หนึ่งในทีมวิจัยระบุในเอพีว่า ฟอสซิล “อาร์ดี” พลิกทฤษฎีวิวัฒนาการมนุษย์ที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมา จากบรรพบุรุษที่คล้ายชิมแปนซี แต่จากฟอสซิลของอาร์ดีบ่งชี้ว่า มนุษย์และชิมแปนซีแยกสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน
(ซ้าย) ภาพโครงกระดูกของ "อาร์ดี" สิ่งมีชีวิตในตระกูลคนที่มีอายุเก่าแก่ 4.4 ล้านปี หรือเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา ซึ่งทีมนักวิจัยนานาชาติขุดพบในบริเวณประเทศเอธีโอเปีย ไกลออกไปจากบริเวณที่เคยพบ "ลูซี" ไม่มากนัก (ขวา) ภาพจำลองลักษณะของ "อาร์ดี" ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 4.4 ล้านปีก่อน ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นภาพวิวัฒนาการของคนกับลิงชัดเจนยิ่งขึ้น (ภาพประกอบจาก ไทม์)
ด้าน ทิม ไวท์ (Tim White) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิวัฒนาการมนุษย์ (Human Evolution Research Center) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) และนักวิจัยอีกคนในทีมเปิดเผยว่า อาร์ดีไม่ใช่บรรพบุรุษร่วมที่ว่านั่น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดกันมากที่สุด ซึ่งสายวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคใหม่และลิงไม่มีหางในปัจจุบัน น่าจะแยกมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อราว 6-7 ล้านปีก่อน
ทว่า อาร์ดีมีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ที่ไม่พบในลิงไม่มีหางที่พบในแอฟริกาปัจจุบันนี้ ทำให้สรุปได้ว่าลิงไม่มีหางมีการวิวัฒนาการที่กว้างออกไป นับตั้งแต่เราได้มีบรรพบุรุษร่วมกันครั้งสุดท้าย และจากการศึกษา ฟอสซิลอาร์ดีพบว่า สิ่งมีชีวิตดังกล่าวอาศัยอยู่ในป่า และปีนต้นไม้ด้วยแขนขาทั้ง 4 ข้าง แต่พัฒนาการของแขนและขาบ่งชี้ว่า พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาอาศัยอยู่บนต้นไม้มากนัก และยังสามารถเดินบนพื้นดินด้วย 2 ขา และลำตัวตั้งตรงได้
“ในฟอสซิลของอาร์ดิพิเธคัสไม่มีลักษณะพิเศษ ที่วิวัฒนาการไปไกลจากเส้นทางของออสเตรโลพิเธคัส ดังนั้น เมื่อเราพินิจจากหัวจรดเท้า เราจะเห็นภาพสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งชิมแปนซีหรือคน แต่เป็นอาร์ดิพิเธคัส” ไวท์ กล่าว ซึ่งชิมแปนซีมีฟันหน้าหยาบมากเพราะเป็นสัตว์กินพืช ขณะที่อาร์ดิพิเธคัสกินทั้งพืชและสัตว์ โดยมีฟันตัดและเขี้ยวเล็กกว่า และยังมีขนาดสมองใกล้เคียงชิมแปนซีแม้ว่าจะมีใบหน้าเล็กกว่า
“ดาร์วินเคยกล่าวไว้ เราต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน เป็นทางเดียวที่เราจะรู้ได้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษร่วมสุดท้ายระหว่างคนกับลิงมีลักษณะอะไร และหาให้เจอ และฟอสซิลอายุ 4.4 ล้านปีที่เราพบ ก็เข้าใกล้สิ่งที่เราค้นหามากขึ้นทุกที และต้องขอบคุณดาร์วิน ที่เคยบอกไว้ว่า สายวิวัฒนาการของลิงและคนเป็นอิสระจากกัน ตั้งแต่แยกสายออกจากบรรพบุรุษร่วมสุดท้าย” ไวท์กล่าว
“นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของการศึกษาเรื่อง วิวัฒนาการมนุษย์ ซึ่งส่วนของโครงกระดูกที่สำคัญและสัมพันธุ์กันถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งกะโหลก มือ เท้า และส่วนสำคัญอื่นๆ ซึ่งมันอาจเป็นบรรพบุรุษของสกุลออสเตรโลพิเธคัส ที่เป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตสกุลโฮโมก็เป็นได้” เดวิด พิลบีม (David Pilbeam) ภัณฑารักษ์ส่วนบรรพชีวินวิทยาของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยา (Peabody Museum of Archaeology and Ethnology) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) กล่าวแสดงความเห็น ซึ่งเขามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยโครงกระดูกอาร์ดี
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกว่า 10 ประเทศ เปิดเผยการค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกสิ่งมีชีวิตในตระกูลคน (hominid) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา โดยได้ตีพิมพ์รายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ถึง 11 ฉบับลงในวารสารไซน์ (Science) ฉบับพิเศษ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.52 ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความตื่นเต้นอย่างมากแก่วงการนักวิทยาศาสตร์ทางด้านวิวัฒนาการของ มนุษย์และสิ่งมีชีวิต และได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนจำนวนมาก
เอเอฟพีระบุว่า ฟอสซิลดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2535 ในเขตประเทศเอธิโอเปีย และอีก 2 ปีต่อมานักวิจัยจึงสามารถจำแนกได้ว่า เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ในตระกูลคน โดยให้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อาร์ดิพิเธคัส เรมิดัส (Ardipithecus ramidus) และมีชื่อเล่นว่า “อาร์ดี” (Ardi)
โครงกระดูกดังกล่าว เป็นของสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่คาดว่าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม สูงราว 1.2 เมตร และมีอายุเก่าแก่มากถึง 4.4 ล้านปี นับว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ฟอสซิลสิ่งมีชีวิตตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดคือ “ลูซี” (Lucy) ซึ่งจัดอยู่ในสปีชีส์ ออสเตรโลพิเธคัส อะฟาเรนซิส (Australopithecus afarensis) มีอายุ 3.2 ล้านปี พบครั้งแรกเมื่อปี 2517 ในเอธิโอเปียเช่นเดียวกัน แต่อยู่ห่างจากบริเวณที่พบ “อาร์ดี” ออกไปทางตอนเหนือ 72 กิโลเมตร
ซี โอเวน เลิฟจอย (C. Owen Lovejoy) นักมานุษยวิทยาจากเคนท์สเตทยูนิเวอร์ซิตี (Kent State University) มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ หนึ่งในทีมวิจัยระบุในเอพีว่า ฟอสซิล “อาร์ดี” พลิกทฤษฎีวิวัฒนาการมนุษย์ที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมา จากบรรพบุรุษที่คล้ายชิมแปนซี แต่จากฟอสซิลของอาร์ดีบ่งชี้ว่า มนุษย์และชิมแปนซีแยกสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน
(ซ้าย) ภาพโครงกระดูกของ "อาร์ดี" สิ่งมีชีวิตในตระกูลคนที่มีอายุเก่าแก่ 4.4 ล้านปี หรือเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา ซึ่งทีมนักวิจัยนานาชาติขุดพบในบริเวณประเทศเอธีโอเปีย ไกลออกไปจากบริเวณที่เคยพบ "ลูซี" ไม่มากนัก (ขวา) ภาพจำลองลักษณะของ "อาร์ดี" ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 4.4 ล้านปีก่อน ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นภาพวิวัฒนาการของคนกับลิงชัดเจนยิ่งขึ้น (ภาพประกอบจาก ไทม์)
ด้าน ทิม ไวท์ (Tim White) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิวัฒนาการมนุษย์ (Human Evolution Research Center) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) และนักวิจัยอีกคนในทีมเปิดเผยว่า อาร์ดีไม่ใช่บรรพบุรุษร่วมที่ว่านั่น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดกันมากที่สุด ซึ่งสายวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคใหม่และลิงไม่มีหางในปัจจุบัน น่าจะแยกมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อราว 6-7 ล้านปีก่อน
ทว่า อาร์ดีมีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ที่ไม่พบในลิงไม่มีหางที่พบในแอฟริกาปัจจุบันนี้ ทำให้สรุปได้ว่าลิงไม่มีหางมีการวิวัฒนาการที่กว้างออกไป นับตั้งแต่เราได้มีบรรพบุรุษร่วมกันครั้งสุดท้าย และจากการศึกษา ฟอสซิลอาร์ดีพบว่า สิ่งมีชีวิตดังกล่าวอาศัยอยู่ในป่า และปีนต้นไม้ด้วยแขนขาทั้ง 4 ข้าง แต่พัฒนาการของแขนและขาบ่งชี้ว่า พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาอาศัยอยู่บนต้นไม้มากนัก และยังสามารถเดินบนพื้นดินด้วย 2 ขา และลำตัวตั้งตรงได้
“ในฟอสซิลของอาร์ดิพิเธคัสไม่มีลักษณะพิเศษ ที่วิวัฒนาการไปไกลจากเส้นทางของออสเตรโลพิเธคัส ดังนั้น เมื่อเราพินิจจากหัวจรดเท้า เราจะเห็นภาพสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งชิมแปนซีหรือคน แต่เป็นอาร์ดิพิเธคัส” ไวท์ กล่าว ซึ่งชิมแปนซีมีฟันหน้าหยาบมากเพราะเป็นสัตว์กินพืช ขณะที่อาร์ดิพิเธคัสกินทั้งพืชและสัตว์ โดยมีฟันตัดและเขี้ยวเล็กกว่า และยังมีขนาดสมองใกล้เคียงชิมแปนซีแม้ว่าจะมีใบหน้าเล็กกว่า
“ดาร์วินเคยกล่าวไว้ เราต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน เป็นทางเดียวที่เราจะรู้ได้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษร่วมสุดท้ายระหว่างคนกับลิงมีลักษณะอะไร และหาให้เจอ และฟอสซิลอายุ 4.4 ล้านปีที่เราพบ ก็เข้าใกล้สิ่งที่เราค้นหามากขึ้นทุกที และต้องขอบคุณดาร์วิน ที่เคยบอกไว้ว่า สายวิวัฒนาการของลิงและคนเป็นอิสระจากกัน ตั้งแต่แยกสายออกจากบรรพบุรุษร่วมสุดท้าย” ไวท์กล่าว
“นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของการศึกษาเรื่อง วิวัฒนาการมนุษย์ ซึ่งส่วนของโครงกระดูกที่สำคัญและสัมพันธุ์กันถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งกะโหลก มือ เท้า และส่วนสำคัญอื่นๆ ซึ่งมันอาจเป็นบรรพบุรุษของสกุลออสเตรโลพิเธคัส ที่เป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตสกุลโฮโมก็เป็นได้” เดวิด พิลบีม (David Pilbeam) ภัณฑารักษ์ส่วนบรรพชีวินวิทยาของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยา (Peabody Museum of Archaeology and Ethnology) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) กล่าวแสดงความเห็น ซึ่งเขามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยโครงกระดูกอาร์ดี
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
Pageviews
ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 3
ภาพดาวอังคารและตำแหน่งที่ยานไวกิง 1 และ 2ยานพาทไฟน์เดอร์ลงจอด และพื้นที่แถบไซโดเนีย(สี่เหลี่ยมสีฟ้า) ที่ปรากฏใบหน้าลึกลับและวัตถุทรงพีระมิดลึกลับ
ตำแหน่งของไซโดเนียบนทรงกลมดาวอังคาร
ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ขั้วความคิดต่างก็พยายามวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนียใบนั้นโดยอาศัยคณิตศาสตร์ชั้นสูงและคอมพิวเตอร์เข้าช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าความเป็นจริงคืออะไร เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีผลการวิเคราะห์ที่สนับสนุนฝ่ายตนอยู่
นาซาเปลืองตัวเพราะเหตุใบหน้าลึกลับ
หาก
ภาพ
ต่อ