วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โปรเจ็คท์ยักษ์ "อวตาร" สร้างชีวิตอมตะให้มนุษย์ ในปี 2045







ความฝันในการมีชีวิตอมตะเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์มานานแสนนาน ถ้าย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์แดนมังกร ที่อยู่ยั้งยืนยงมานานกว่า 6 สหัสวรรษ ก็จะพบว่ากษัตริย์จีนโบราณหลายพระองค์ มีความต้องการที่จะใช้ชีวิตอมตะ และมีพระบัญชาให้ข้าทาสบริวารไปเสาะหา “ยาอายุวัฒนะ” ในดินแดนห่างไกล แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคใดๆ ก็ต้องเสาะแสวงหามาให้จงได้











หากจะเอ่ยภาพยนตร์แนวแอคชั่นไซไฟที่ใช้สเปเชียลเอฟเฟ็คสุดไฮเทคในรอบทศวรรษ

เห็นทีคงต้องยกให้ "Avatar" ที่นอกจากจะมีฉากและเอฟเฟ็คสุดตระการตาน่าประทับใจแล้ว

แต่ยังมีความคิดทางวิทยาศาสตร์สุดก้าวล้ำที่มนุษย์ทั้งหลายใช้หุ่นยนต์แทนตนเองในโลกอนาคต







ทั้งยังกลายเป็นแรงบันดาลใจในการจัดทำโครงการ “ความริเริ่ม 2045” ( 2045 Initiative) ที่จะสร้างความฝันของการใช้ชีวิตอมตะของมนุษย์กลายเป็นจริงได้ โดยการ “สกัดความจำ” ออกจากร่างกาย และนำไปใส่ในร่างอวตาร (Avatar) ของบุคคลนั้นๆ ภายในปี 2045 หรืออีก 33 ปีข้างหน้านี้เอง



       

นักธุรกิจหนุ่มชาวรัสเซีย ดิมิทรี อิทส์คอฟ บรรเจิดไอเดียวิทยาศาสตร์ล้ำยุคที่ปรากฏอยู่แต่ภาพยนตร์แนวแอคชั่นไซไฟให้กลายเป็นจริง ด้วยการผุดโครงการปลูกถ่ายสมองของมนุษย์มาเก็บรักษาไว้ในร่างของหุ่นยนต์ 3 มิติ เพื่อรักษาความคิดจิตใจให้เป็นอมตะตลอดกาลหลังจากที่ร่างกายจากโลกนี้ไป



เขาได้ว่าจ้างนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิ 30 คน เพื่อช่วยทำความฝันให้เป็นจริงและได้เปิดสำนักงานในนครซานฟรานซิสโก เพื่อเปิดรับมหาเศรษฐีที่มีความคิดฝันแบบเดียวกันนั้นอีก 1,266 คนที่ อิทส์คอฟได้ร่อนจดหมายไปถึง โดยคัดเลือกเฉพาะมหาเศรษฐีที่ติดอยู่ในกลุ่มเศรษฐีโลกที่นิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับขึ้นมา





โครงการดังกล่าวจะเริ่มต้นจากการเปิดสำนักงานในซาน ฟรานซิสโก ในฤดูร้อนนี้ พร้อมอาศัยโซเชียลมีเดียเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงกับนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก เพื่อกำหนดโครงสร้างของหุ่นยนต์ให้เลียนแบบระบบการทำงานของสมองและสติสัมปชัญญะของสิ่งมีชีวิต กล่าวคือ เป็นขั้นตอนของการวางโมเดล “ร่างสังเคราะห์” ไว้รองรับการปลูกถ่ายความคิดจิตใจ ซึ่งเขาวางแผนไว้ว่าจะใช้เวลา 10 ปี จะสามารถทำการปลูกถ่ายความคิดจิตใจของมนุษย์สู่ร่างของหุ่นยนต์ได้เป็นผลสำเร็จ







แนวความคิดของการใช้ชีวิตอมตะนั้นเป็นจุดเริ่มของกระบวนการการแยกจิตออกจากร่างกาย ผ่านอุปกรณ์ Brain-Machine Interface เพื่อควบคุมหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ (Humanoid) หรือหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์



ช่วงแรก ของการพัฒนาการเป็นอมตะ (ระหว่างปี 2015-2020)

เป็นขั้นตอนของการวางโมเดล “ร่างสังเคราะห์” ไว้รองรับการปลูกถ่ายความคิดจิตใจ ซึ่งเขาวางแผนไว้ว่าจะใช้เวลา 10 ปี จะสามารถทำการปลูกถ่ายความคิดจิตใจของมนุษย์สู่ร่างของหุ่นยนต์ได้เป็นผลสำเร็จ









ขั้นตอนที่ 2 เมื่อร่างกายเนื้อได้สิ้นสุดอายุขัยลงทีมงานก็จะปลูกถ่ายสมองของลูกค้าผู้ใฝ่หาชีวิตอมตะไปใส่ในร่างฮิวมานอยด์ (ระหว่างปี 2020-2025) โดยสร้างร่างกายเทียมตามโมเดลที่วางไว้และติดตั้งเครื่องมือสื่อสารระหว่างสมองกับเครื่องจักร เพื่อที่จะสามารถควบคุมพร้อมกับเปิดการทำงานระบบรักษาสมอง ด้วยเหตุนี้ สมองจะยังไม่ตายแม้จะอยู่นอกร่างกายและจะถูกฝากเก็บไว้ในร่างของหุ่นยนต์



ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนสังเคราะห์สมอง ซึ่งก็คือระบบคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับ “ดาวน์โหลด” ความคิดอ่านจากสมองของมนุษย์จริงๆ เข้ามาบรรจุไว้  (ระหว่างปี 2030-2035)







ขั้นตอนที่ 4 ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการใช้ชีวิตอย่าง “อมตะ” นั่นคือ การผสานสมองประดิษฐ์เข้ากับร่างอวตารแบบ “โฮโลแกรม”   หรือร่างกายสังเคราะห์ในรูปแบบ 3 มิติ






ตัวอย่าง เทคโนโลยี โฮโลแกรม ที่นำมาใช้ในปัจุบัน

http://allmysteryworld.blogspot.com/2012/04/blog-post_18.html#.UCFEDU3N9cE














         อิทส์คอฟ อธิบายว่า จริงๆ แล้วก็คือการ “อัพโหลด” สิ่งที่บรรจุอยู่ในสมองของมนุษย์โดยไม่ต้องผ่าตัดมาเลี้ยงให้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปตลอดกาลในร่างของหุ่นยนต์ 3 มิติ ทิ้งให้เนื้อหนังเป็นเพียงร่างว่างเปล่าหลังการเสียชีวิต ร่างสังเคราะห์ 3 มิติที่บรรจุสมองของคุณจะ “สามารถเดินทะลุกำแพงได้ด้วยความเร็วแสง เหมือนๆ กับในสตาร์วอร์สนั่นแหละครับ... 

ถ้ายังนึกไม่ออก ก็ลองคิดถึงร่างโฮโลแกรมของ ‘โอบิ-วาน’ ปรมาจารย์ในภาพยนตร์ ‘สตาร์วอร์’ นั่นเอง”





ฝรั่งต่างชาติยึดถือหลักการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์สรุปว่าในสมองของมนุษย์นั้นมีแต่ “ความจำ” ไร้ซึ่ง “วิญญาณ” ตามที่ชาติตะวันออกของเอเชียเราเชื่อถือ มีการประเมินความจุของสมองมนุษย์โฮโมเซเปี้ยนอย่างเราๆ ท่านๆ นั้น สูงถึง 2.5 เพตาไบท์ ( 2.5 ล้านกิกะไบต์) หรือถ้าจะใช้ฮาร์ดดิสก์จานแม่เหล็กขนาด 1 กิกะไบต์ที่มีใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในปัจจุบันนี้ จะต้องใช้ถึง 2.5 ล้านตัว ข้อมูลจำนวนดังกล่าวเทียบได้กับการออกอากาศรายการโทรทัศน์นานถึง 300 ปี







แต่ชาวเอเชียตะวันออกกลับเชื่อถือในเรื่อง “จิต” ที่เป็นหน่วยควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด “จิต” ไม่มีวันสลาย เว้นแต่จะหมดเคราะห์กรรมที่สั่งสมมาในอดีตชาติ ตามหลักศาสนาพุทธ



ในวิถีพุทธการถ่ายทอดจิตทำได้ง่าย และไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากอย่างที่มหาเศรษฐีชาวรัสเซียรายนี้กำลังคิดฝันอยู่ เพียงทำสมาธิแล้วเข้าถึง “ญาณ” ขั้นสูงที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติถอดจิตไปยังที่ต่างๆ ได้







เขายังกล่าวด้วยว่าต้องการที่จะทำงานร่วมกับสำนักงานโครงการวิจัยอาวุธก้าวหน้า (ดาร์ปา) ของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวคิดในการสร้างร่างอวตารปฏิบัติงานเสี่ยงตายในสนามแทนที่จะเป็นทหารมีเลือดมีเนื้อตัวจริงเข้าไปเสี่ยงชีวิต โดยทหารเป็นผู้สั่งการควบคุมร่างอวตารนั้นผ่านระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับที่ซับซ้อน



ในโครงการดังกล่าวกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ตั้งงบประมาณ 7 ล้านดอลลาร์เพื่อการเริ่มต้นโครงการที่มีชื่อว่า “อวตาร” ด้วยเช่นกัน



ดาร์ปาระบุว่าโครงการอวตารจะสร้างอินเตอร์เฟซ และ อัลกอริธึม ที่ช่วยให้ทหารสามารถควบคุมตัวแทน (surrogate) ทำงานในสนามแทนตนเองได้



เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้นว่าเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์กำลังเดินไปยังจุดหมายที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้เมื่อ 2555 ปีที่แล้วนั่นเอง







ที่มา : 

http://www.tjinnovation.com/Section.php?cat=28&id=2290

http://www.xn--r3ce0ab1b.com/post/?id=469

____________________

เครดิต :

________________________________



อ้างอิง :

________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น