แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตำนานเทพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตำนานเทพ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตำนานแอตแลนตีส

 

การตามหามหานคร “แอตแลนตีส” มีมาตลอดหลายยุคหลายสมัย ทั้งยังเป็นปริศนาให้เหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องราวลี้ลับได้ค้นคว้าหาตำตอบกันมากต่อมาก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของบทความ การค้นคว้าทางวิชาการ หนังสือ ภาพยนตร์ และเรื่องเล่าต่อๆ กันมา
โดย ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีราชบัณฑิตยสถาน ได้เขียนถึง แอตแลนตีส ไว้อย่างสมบูรณ์ ความว่า
เมื่อ 2,300 ปีก่อน มีนักปราชญ์ชาติกรีกท่านหนึ่งชื่อ "เพลโต" (Plato) ได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ ไทมาอุส (Timaeus) และ ครีตีอัส (Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงทวดของเพลโตที่ชื่อว่า ครีตีอัส ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ ดรอพิเดส (Dropides) เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อ ซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราว 533 ปีก่อนคริตศักราช (พ.ศ.10)

"เพลโต" ผู้เผยแพร่เรื่องราวของแอตแลนตีส

ดรอพิเดสได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ แอตแลนตีส (Atlantis) ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะได้ถูกคลื่นยักษ์ในไหลท่วมจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็น เกาะอีกเลย
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของโพเซดอน (Poseidon) เทพแห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอน และทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของแอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะนอกจากจะมีกำแพงล้อมรอบแล้วยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไป ได้ถึงใจกลางเมือง ชาวเมืองแอตแลนตีสยังมีการศึกษาและมีความสามารถด้านการทำสงครามรวมถึงมีศีลธรรมอันสูงส่งอีกด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของแอตแลนตีสก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาวแอตแลนตีสได้เปลี่ยนเป็นคนที่กระหายอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลัน

ในปี พ.ศ. 202 50 ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง คนรุ่นหลังและเหล่าศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่าอาณาจักรแอตแลนตีส ของเพลโตอยู่ที่ใด และอาณาจักรนี้มีหรือไม่
อริสโตเติล (Aristotle) ศิษย์เอกของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของแอตแลนตีสก็ยังคงมีอยู่ โดยพวกที่เชื่อก็มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ย่อมเขียนอย่างมีเหตุผลและกลั่นกรองแล้วว่ามีความถูกต้อง ส่วนพวกที่ไม่เชื่อซึ่งก็มีมากมายจะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริงน่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครเคยได้เห็น แอตแลนตีสเลย
แล้วถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด?
เพล โต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส"  (Pillars of Hercules) หรือ เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส ออกไป ซึ่งในปัจจุบันเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม เกาะลึกลับต่างๆ ที่อยู่ในนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น

พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็น "ช่องแคบยิบรอลตา"

ใน ปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus) ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา (Francesco Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies) และทวีปอเมริกา คือ แอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดนี้ก็เริ่มหมดความเชื่อถือไป
แต่บรรดาผู้คนที่ยังหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่า แถวหมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่า ดังนั้นการค้นหาจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

เกาะเทรา ที่เข้าใจกันว่าเป็น "แอตแลนตีส"

ใน ปี พ.ศ. 2443 เมื่อเซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir Arthur Evans) แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวังนอสซอส (Knossos) ของอารยธรรมไมนวน (Minoan) บนเกาะครีท (Crete) ในทะลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ หนังสือพิมพ์ ไทม์ส (The Times) ได้พาดหัวข่าวว่าอีวานส์พบแอตแลนตีสแล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดีและทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า เกาะครีทไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย

ในอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา (Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอแนวความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลายเพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟบนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย เถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมด เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย จึงแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน
ประวัติ ศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักการขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ยังรู้จักสร้างบ้านให้มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกได้อีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผา กับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรนี้มีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปในทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต
จากการศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำให้เกาะเทราทรุดจมลงใต้ทะเล โดยฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราไปจนหมดสิ้น และ อีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน เกิดคลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตร พุ่งเข้าถล่มเกาะครีต มีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
เหตุการณ์ ปฐพีถล่มในครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี ครีท - เทรา (Crete - Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอส บนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี

มีหนังสือชื่อ มิสทรี ออฟ ดิ แอนเชียน เวิลร์ด (Mysteries of the Ancient World) หรือปริศนาลึกลับแห่งโลกโบราณ ซึ่งมี ฟรานเดอร์ (J. Flanders) เป็นบรรณาธิการ และออกวางขาย ปลายปี 2541 กล่าวถึง แอตแลนตีส ว่า
เพลโต เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่าง 100%ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่ คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำเรื่อง นี้มาบอกต่อๆ กันไปจากปากต่อปาก จึงอาจจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปบ้าง
และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ เฮโรโดตัส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียวจริง และข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100% หรือเปล่า

ประเด็น เหล่านี้ทำให้นักวิชาการในปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่า อริสโตเติล คิดว่าถูกที่ว่า แอตแลนตีส คืออาณาจักรในนิยายที่ไม่มีตัวตน และ เพลโต ได้เขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ เดอะ รีพับบลิก(The Republic) ของ เพลโต เอง
นักวิชาการเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง แอตแลนตีส มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของ สงครามเปโลโปนนีเชียน (Peloponnesian) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดยเพลโตได้สมมติให้ แอตแลนตีส แทนเอเธนส์ (Athens) และเอเธอนส์ คือสปาร์ตา (Sparta)ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราการของฝ่ายเอเธนส์บนเกาะ แอตาแลนเต (Atalante) จนราบเรียบ
ถึงแม้ เพลโต จะเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิยายไปทั้งหมด คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ แอตแลนตีส มีจริง และอยากจะเห็นแอตแลนตีสสักครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา แอตแลนตีส ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตันนีโม (Nemo) ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อนอติลุส (Nautilus) ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง ใต้ทะเล 20,000 โยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea)ของจูลส์ เวิร์นส์ (Jules Verne) และกัปตันนีโมได้เห็นซากปรักหักพังของเมือง เห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า แอตแลนตีส
นักวิจัยสหรัฐมั่นใจ แอตแลนติส นครแห่งตำนานจมอยู่แถว ไซปรัส
รอย เตอร์ บีบีซีนิวส์ เอเอฟพี นักวิจัยสหรัฐ เปิดเผยว่าได้ค้นพบ แอตแลนติส เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าทึ่งมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งว่าพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน ไม่น่าใช่เมืองของเพลโต
โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ แอตแลนติส จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)

ตำแหน่งสีแดง คือตำแหน่งที่ "ซาร์แมสต์ " คิดว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนตีส

พวก เราพบมันแล้ว ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ตระเวณไปในทะเลกว่า 50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัส จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก
พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่อว่าแอตแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น ซาร์แมสต์ เผย


อย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol)เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง เนิน ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ
ตามคำกล่าวอ้างของ เพลโต (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ และได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าอย่างมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองมีความละโมบและกระหายอำนาจ เทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้

ซาร์ แมสต์ เปิดเผยต่ออีกว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่กล่าวว่า แอตแลนตีส อยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ ช่องแคบยิบรอลตาร์ (Straits of Gibraltar) จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส

ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ดี ผู้คนต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน (Sumerian) ซาร์แมสต์กล่าว
แต่ยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว

ก่อน หน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ตลอดจนทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานา ของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลัง จมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่า สิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ตาม หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใดเลย

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ตำนานเทพพระตรีมูรติ

พระตรีมูรติ มหาเทพผู้ซึ่งประทานความสมหวังในทุกประการ



พระตรีมูรติ (Trimurti) หรือ เทพทัตตาเตรยะ นั้นถือว่าเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาพราหมณ์ ทั้งนี้เนื่องมาจากพระตรีมูรตินี้เป็นการรวมกันของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ถึง 3 พระองค์เข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือ พระพรหม, พระวิษณุ (พระนารายณ์) และพระศิวะ (พระศิวะ) ที่ถือว่าเป็น ผู้สร้าง (สฤษฏิ), ผู้รักษาโลก (สถิติ) และผู้ทำลาย (ประลัย) ในศาสนาพรหมณ์ โดยพระเทวานุภาพของพระตรีมูรตินั้นท่านสามารถประทานความสมหวังได้ในทุกเรื่องนทรงประทานพรให้เราสมหวังได้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ในชีวิต การงาน หรือแม้แต่กระทั่งในเรื่องความรัก

โดยในสมัยโบราณกาลศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ถือกำเนิดขึ้นมาโดยชาวอารยันเมื่อ 1000 ปีก่อนสมัยพุทธกาล โดยชาวฮินดูได้นำลัทธิพระเวทมาผสมผสานกับคติความเชื่อของคนพื้นเมืองอินเดียโบราณ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและได้มีการยกย่องชนชั้น พราหมณ์ เป็นชนชั้นสูงสุดในฐานะที่เป็นผู้ซึ่งสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้นั่นเอง โดยเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 พระองค์ ซึ่งก็คือ

1. พระพรหม ซึ่งมีพระนามอื่นที่เป็นที่นิยมเรียกกันคือ พระธาดา (ผู้ทรงไว้), พระปรเมศ (ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์) และพระโลเกศ (จอมโลก) ทรงได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ พระอาตมภู (ผู้เกิดเอง) ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นจากความว่างเปล่า โดยเมื่อทรงหว่านพืชลงในน้ำก็บังเกิดเป็นไข่ทองขึ้นและก้ได้ถือกำเนิดเป็นพระพรหม โดยพระพรหมจะทรงมีพระวรกายสีแดง มีสี่พระพักตร์ แปดพระกรรณ และสี่พระกร (บางแห่งว่ามี 8 พระกร) โดยทรงถือธารพระกร, ช้อนสำหรับหยอดเนยในไฟ, คัมภีร์, หม้อน้ำ, มีประคำล้อง และถือธนู และทรงมีหงส์เป็นพาหนะ

2. พระอิศวร  ซึ่งมีพระนามอื่นที่เป็นที่นิยมเรียกกันคือ พระตรีโลจนะ, พระมหาเทพ, จันทรเศขร, นิลกัณฐ์ โดยตำนานการกำเนิดของพระองค์อันหนึ่งกล่าวว่า ทรงเป็นโอรสของพระกัศยปกับนางสุรภี แต่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นเองจากพระเวทและพรธรรม โดยพระศิวะจะทรงมีพระวรกายสีขาว มีสามพระเนตร โดยทรงจะมีรูปพระจันทร์ครึ่งซีกอยู่เหนือพระเนตรที่สาม พระเกศามุ่นเป็นชฎา ทรงมีประคำกะโหลกหัวคนคล้องพระศอ พระสังวาลเป็นงู พระสอสีนิล ทรงนุ่งหนังเสือ, หนังกวางและหนังช้าง ทรงสถิตอยู่บนเขาไกรลาศในเทือกเขาหิมาลัย ทรงมีตรีศูลเป็นอาวุธ ถือคทายอดหัวกะโหลก ถือสังข์ ฯลฯ และทรงมีวัวเป็นพาหนะ

3. พระนารายณ์ ซึ่งมีพระนามอื่นที่เป็นที่นิยมเรียกกันคือ พระวิษณุ, พระพิษณุหริ, พระอนันตไศยน ตำนานถือกำเนิดของพระนารายณ์มีอยู่ว่าหลังจากที่พระอิศวรทรงบังเกิดขึ้นจากพระเวทและพระธรรมแล้ว ก็ทรงสร้างผู้ช่วยขึ้น โดยทรงเอาพระหัตถ์ซ้ายลูบพระหัตถ์ขวาและก็ได้ปรากฏเป็นองค์พระนารายณ์ขึึ้น และไปประทับอยู่ในเกษียรสมุทร ยามใดที่มีเหตุทุรยุคพระนารายณ์ก็มีหน้าที่ไปปราบและระงับทุกข์ โดยรูปโฉมของพระนารายณ์ที่จิตรกรนิยมเขียนก็จะเป็นบุรุษหนุ่มที่มีพระวรกายสีนิล ทรงแต่งอาภรณ์อย่างกษัตริย์ ทรงเสื้อสีเหลือง มีสี่พระกร ทรงตรีคทา จักร สังข์ บ้างก็ว่าทรงธนู ดอกบัว หรือพระขรรค์

และหากจะกล่าวถึงตำนานการกำเนิดของ “พระตรีมูรติ” ก็มีการกล่าวไว้ในหลายตำนานต่างๆกัน และหนึ่งในตำนานนั้นก็เช่นตำนานของ เทพทัตตาเตรยะ โดยคำว่า “ทัตตา” นั้นหมายถึง การมอบให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ส่วนคำว่า “เตรยะ” นั้นหมายถึง ผู้เป็นบุตรของฤาษีเตรยะหรืออัตริ อันเป็นอวตารของมหาเทพทั้งสามพระองค์ หรือบ้างก็กล่าวกันว่าเป็นองค์พระนารายณ์ โดยตำนานนั้นมีอยู่ว่า ขณะที่ฤาษีที่มีนามว่า อณิมาณฺฑวฺย (อะ-นิ-มาน-ดับ-วยะ) กำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ได้มีโจรกลุ่มหนึ่งได้หนีเจ้าหน้าที่มา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้สอบถามถึงโจรกับฤาษี แต่ฤาษีไม่ได้ตอบคำถามใดๆเพราะว่ายังทำสมาธิอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเข้าใจว่าฤาษีนั้นเป็นโจรจึงได้จับกุมตัวกลับไปเฝ้าพระราชา ซึ่งต่อมาฤาษีตนนี้ก็ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยวิธีการเสียบตรีศูลที่บนยอดเขาแห่งหนึ่งแต่ฤาษียังไม่ถึงแก่ชีวิต ในระหว่างนั้นนางศีลวตี เดินทางผ่านมาโดยให้สามีที่มีชื่อว่า อุครศรวัส (อุค-คระ-ศระ-วัส) ขี่หลังเพื่อเดินทางผ่านเขาลูกนี้เพื่อที่จะไปหานางอนุสูรยาซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน ประกอบกับวันนั้นมีฝนตกหนักทำให้การเดินทางค่อนข้างลำบาก และเมื่อผ่านพวกเขาผ่านมาพบกับฤาษีสามีของนางจึงได้ตัดพ้อต่อว่าฤาษีีว่าเป็นเหตุให้ฝนตกหนัก และเมื่อฤาษีได้ยินเข้าจึงสาปแช่งให้ศีรษะของนายอุครศรวัสแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงเมื่อยามที่พระอาทิตย์ขึ้น และเมื่อนางศีลวตีได้ยินคำสาปเข้า ก็ไม่ยอมให้สามีเป็นเช่นนั้น จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นอีกเลย ปรากฎว่าคำอธิษฐานของเธอได้บังเกิดผลทำให้พระอาทิตย์ไม่ขึ้น จึงส่งผลให้เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งสามโลก เหล่าเทวดาจึงพากันนำความไปแจ้งยังมหาเทพทั้งสามพระองค์ซึ่งก็คือ พระพรหม, พระศิวะ และ พระนารายณ์ ซึ่งทั้งสามพระองค์ (พระตรีมูรติ) ก็ไม่สามารถจะทำการใดๆได้นอกเสียจากว่านางศีลวตีจะถอนคำอธิษฐานนั้นเสีย พระตรีมูรติจึงเสด็จไปหานางอนุสูยาก่อนเพื่อให้นางไปขอร้องนางศีลวตีเพื่อให้ถอนคำอธิฐานนั้นเสียโดยที่สามีของเธอจะไม่เสียชีวิต นางศีลวตีจึงยอมแต่โดยดี จากนั้นพระตรีมูรติจึงได้ตรัสถามนางอนุสูยาที่ช่วยไปบอกนางศีลวตีถอนคำอธิฐานว่าต้องการพรสิ่งใด นางอนุสูยาจึงทูลขอให้พระตรีมูรติเกิดเป็นลูกของนางในภายภาคหน้า พระตรีมูรติจึงได้ประทานพรตามคำขอโดยที่พระนารายณ์ได้เกิดเป็นพระทัตตาเตรยะ,  พระศิวะได้เกิดเป็นทุรวาสัส และพระพรหมได้เกิดเป็นพระจันทร์

นอกจากตำนานที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้นแล้วยังมีตำนานที่เกี่ยวกับพระตรีมูรติอีกว่า แต่เดิมนั้นเทพกับอสูรเป็นศัตรูกัน แต่เหล่าอสูรนั้นมีฤทธิ์มาก เหล่าเทวดาซึ่งกลัวว่าจะแพ้จึงพากันนำความไปกราบทูลแก่พระศิวะ, พระนารายณ์ และพระพรหม ทั้งสามพระองค์จึงร่วมกันทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อทำเป็นน้ำอมฤตซึ่งหากใครได้ดื่มก็จะไม่ตายและยังได้ชวนให้เหล่าอสูรมาร่วมทำพิธีกรรมด้วยและให้สัญญาว่าจะให้ดื่มน้ำอมฤต จากนั้นพิธีกวนเกษียรสมุทรจึงได้บังเกิดขึ้นโดยใช้เขาพระสุเมรุเป็นไม้กวนเกษียรสมุทรและมีพระยาวาสุกรีเป็นเชือกพันรอบเขาพระสุเมรุ จากนั้นบรรดาเหล่าเทวดาและอสูรต่างช่วยกันชักสายเชือก พิธีกวนเกษียรสมุทรนี้ต้องใช้ระยะเวลาการดำเนินการหลายปี พระนารายณ์จึงทรงเล็งเห็นว่าหากทำพิธีกรรมนี้ไปเรื่อยๆอาจทำให้เขาพระสุเมรุทะลุพื้นทะเลไป พระองค์จึงแปลงกายไปเป็นเต่ายักษ์เพื่อลงไปรองรับแผ่นโลกไว้ เมื่อเวลาผ่านไป 1000 ปี พิธีกวนเกษียรสมุทรก็ประสบความสำเร็จเหล่าอสูรจึงพากันแย่งดื่มน้ำอมฤต พระนารายณ์จึงแปลงร่างเป็นสาวงามเพื่อล่อให้เหล่าอสูรไปอีกทางหนึ่ง เหล่าเทวดาจึงได้ดื่มน้ำอมฤตกันทั่วหน้า ส่วนฝ่ายอสูรมีเพียงพระราหูเท่านั้นที่ได้ดื่ม พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงพากันมาฟ้องพระนารายณ์ จึงเป็นเหตุให้พระองค์ขว้างจักรตัดกายพระราหูขาดเป็น 2 ส่วน แต่พระราหูนั้นยังไม่ตายจึงได้กลายมาเป็นตำนานการเกิดปรากฏการณ์สุริยคราสและจันทรคราสในปัจจุบัน

จากตำนานของพระตรีมูรติที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้น ความศรัทธาที่มีต่อพระตรีมูรติ ได้สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย จนพระตรีมูรติได้รับการเทิดทูนให้กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของการประทานความรักและความสมหวังให้มวลมนุษย์ตราบเท่าจนทุกวันนี้

คำ บูชา พระ ตรีมูรติ

สาธุ สาธุ สาธุ อุกาสะ ข้าแต่องค์พระตรีมูรติที่ยิ่งใหญ่ข้าพเจ้า นาย, นาง, นางสาว ……………………….( ชื่อ นามสกุล และที่อยู่ ) กราบเบื้องบาทแด่องค์ท่านแล้ว พระองค์เคยประทานพรแด่ทวยเทพทั้งหลาย ผู้ปฎิบัติดี ผู้ปฎิบัติชอบทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้ามากราบเบื้องบาทแด่พระองค์ท่านแล้ว จึงขอพรจากพระองค์ซึ่งประทานไว้ ณ บัดนี้ ( …..ขอพร….. )

เตสัง อัมหากัง พรใดอันประเสริฐจงมาบังเกิดแด่ข้าพเจ้า ตุมหากัง และจงบังเกิดแด่ผู้คุ้มครองข้าพเจ้า ฑีฆายุกา มหาเดชา มหาปัญญา มหาโภคา มหายะสา มหาลาภา ปัญจวีสติ ภยันจะ ทวัตติงสะ ฉันนะวุฒิติโรคัญจะ โสระสะ อุบัติอันตรายยัญจะ อัยยัญติกะ อันตรายยัญจะ พาหิระ อันตรายยัญจะ วิระหิตะวา โหตุ ยาวะชีวัง พระวิสตีติ (พระตรีมูรติ)

ที่มา  :  พระตรีมูรติ.com

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เทพเจ้าในตำนาน

ตำนาน เทพีแห่งชัยชนะ (Nike)
ตำนาน เซนต์วาเลนไทน์ (Valentine)
ตำนาน เทพีแห่งการล้างแค้น เทพีเนเมซิส (Nemesis)
ตำนาน วีรบุรุษแห่งกรีก เพอร์ซุส (perseus) ผู้สังหารเมดูซา
ตำนาน วีรบุรุษแห่งกรีก เฮอร์คิวลิส (hercules) ผู้มีพละกำลังมหาศาล
ตำนาน กล่องแห่งความลับ แห่งแพนโดร่า (Pandora)
ตำนาน พระบิดาแห่งมนุษยชาติ โพรเมทิอัส
ตำนาน ราชินีแห่งปรโลกผู้เลอโฉม เทพีเพอร์เซโฟนี (Persephone)
ตำนาน จอมมารแห่งนรก ลูซิเฟอร์ (Lucifer)
ตำนาน แทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพอพอลโล (Apollo)
ตำนาน แทพแห่งสงคราม เทพาอาเรส (Ares) หรือ Mars
ตำนาน เทพแห่งความตาย เทพฮาเดส (Hades) หรือเทพเจ้าพลูโต
ตำนาน เทพแห่งมหาสมุทร เทพโปเซดอน (Poseidon)
ตำนาน เทพซีอุส (Zeus) เทพผู้ปกครองเทพทั้งหมด
ตำนาน แม่โพสพ เทพีแห่งการเกษตร เทพีดีมีเตอร์ (Demeter)
ตำนาน เทพีฮีร่า (Hera) เทพีแห่งสวรรค์
ตำนาน เทพีแห่งเตาไฟ เทพีเฮสเทีย (Hestia) ผู้คุ้มครองบ้านเรือน
ตำนาน เทพีแห่งจันทรา เทพีอาร์เทมีส (Artemis)
ตำนาน เทพีแห่งสงครามและปัญญา เทพีอาเทน่า (Athena)
ตำนาน เทพแห่งความรัก เทพอีรอส (Eros) หรือ Cupid
ตำนาน เทพีแห่งความงามและความรัก เทพีอโฟรไดท์ (Aphrodite) หรือ Venus
ตำนานพระตรีมูรติ

ตำนาน เทพีแห่งความงามและความรัก เทพีอโฟรไดท์ (Aphrodite) หรือ Venus


เทวีองค์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากที่สุดได้แก่เทวี อโฟรไดที่(Aphrodite) หรือ วีนัส(Venus) ซึ่งงเป็นเจ้าแม่ครองความรักและความงาม สามารถสะกดเทพและมนุษย์ทั้งปวงให้ลุ่มหลง ทั้งอาจจะลบสติปัญญาของผู้ฉลาดให้ตกอยู่ในความโฉดเขลาไปได้ และเจ้าแม่จะคอยหัวเราะเยาะบรรดาผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความเย้ายวนของเจ้าแม่ร่ำไป

หากจะสืบสาวต้นกำเนิดของอโฟร์ไดที่ อาจต้องสืบสาวไปไกลกว่าตำนานของกรีกเสียอีก เนื่องจากเจ้าแม่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนซีกโลกตะวันออก ว่ากันว่าเจ้าแม่เป็นเทวีองค์แรกเริ่มของชนชาติฟีนีเซีย ที่มาตั้งอาณานิคมมากมายในดินแดนตะวันออกแถบตะวันออกกลาง ทราบกันมาว่าเจ้าแม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทวีของชาวอัสสิเรียกับบาบิโลเนีย ที่มีนามว่า อีชตาร์ (Ishtar) และก็ยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทวีของชาวไซโร-ฟีนิเซี่ยน ผู้มีนามกรว่า แอสตาร์เต (Astarte) จึงนับได้ว่าเป็น เทวีที่มีความสำคัญมากมาแต่ดึกดำบรรพ์

ตามมหากาพย์อิเลียดของโฮเมอร์ เทวีอโฟรไดที่เป็นเทพธิดาของซูส เกิดกับนางอัปสร ไดโอนี (Dione) แต่บทกวีนิพนธ์ชั้นหลังๆ กล่าวว่า เจ้าแม่ผุดขึ้นจากฟองทะเล เนื่องจากคำว่า Aphros อันเป็นที่มาของชื่อเจ้าแม่ใน ภาษากรีกแปลว่า "ฟอง" แหล่งกำเนิดของเจ้าแม่อยู่ในทะเลแถวๆ เกาะไซเธอรา (Cythera) จากนั้น เจ้าแม่ถูกคลื่นซัดไปจนถึงเกาะ ไซพรัส (Cyprus) อาศัยเหตุนี้ เกาะทั้งสองจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับเจ้าแม่ และบางทีเจ้าแม่ก็มีชื่อเรียกตามชื่อเกาะทั้งสองนี้ว่า ไซเธอเรีย (Cytherea) และไซเพรียน (Cyprian)

ตามเรื่องที่เล่ากันแพร่หลายกล่าวว่า เมื่อเทวีอโฟรไดทีถูกคลื่นซัดไปติด ณ เกาะไซพรัสนั้น ฤดูเทวีผู้รักษาทวารแห่งเขาโอลิมปัสลงมารับพาเจ้าแม่ขึ้นไปยังเทพสภา เทพทุกคนในที่นั้นต่างตะลึงในความงามของเจ้าแม่ และต่างองค์ต่างก็อยากได้เจ้าแม่เป็นคู่ครอง แม้แต่ซูสเองก็อยากจะได้ แต่เจ้าแม่ไม่ยินดีด้วย ไท้เธอจึงโปรดประทานเจ้าแม่ให้แก่ ฮีฟีสทัส (Hephaestus) เทพรูปทรามผู้มีบาทอัน แปเป๋เป็นบำเหน็จรางวัลทดแทนความชอบในการที่ฮีฟีสทัสประกอบอสนียบาตถวายและเป็นการลงโทษเจ้าแม่ในเหตุที่ไม่ไยดีซูสไปในตัวด้วย

แต่เทพองค์แรกที่เจ้าแม่พิศวาสและร่วมอภิรมย์ด้วยคือ เอรีส (Ares) หรือ มาร์ส (Mars) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการสงคราม เทพบุตรของซูสเทพบดี เกิดกับเจ้าแม่ฮีรา ได้เป็นชู้สู่หากับเทวีอโฟรไดที จนให้ประสูติบุตรสองธิดาหนึ่งรวมเป็นสาม มีนามตามลำดับว่า อีรอส (Eros) หรือ คิวพิด (Cupid) แอนติรอส (Anteros) และ เฮอร์ไมโอนี (Hermione) หรือ ฮาร์โมเนีย (Harmonia) นางเฮอร์ไมโอนีนั้นได้วิวาห์กับ แคดมัส (Cadmus) ผู้สร้างเมืองธีบส์ ซึ่งเป็นพี่ของนางยุโรปา ผู้ถูกซูสลักพาไปเป็นคู่ร่วมอภิรมย์

เรื่องราวความรักของเทวีแห่งความงามและความรักอโฟร์ไดที่ไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เจ้าแม่เที่ยวหว่านเสน่ห์ไปทั่วไม่ว่าเทพหรือมนุษย์ อาทิเช่น การมีจิตปฏิพัทธ์เสน่หากับเทพเฮอร์มีส จนเกิดมีโอรสองค์หนึ่งนามว่า เฮอร์มาโฟร์ดิทัส (Hermahroditus) ในด้านของมนุษย์เทวีอโฟร์ไดที่ยังเคยแอบไปมีจิตพิศวาสกับบุรุษเดินดิน เช่น ไปชอบพอกับเจ้าชายชาวโทรยัน นามว่า แอนคิซีส (Anchises) จนมีโอรสครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ออกมานามว่า เอนิแอส (Aenias) ผู้เป็นต้นตระกลูของชาวโรมันทั้งหมด และที่อื้อฉาวฮือฮามากที่สุดได้แก่ การไปแอบรักสุดหล่อแห่งยุคคือ อโดนิส

ในกาลวันหนึ่ง เจ้าแม่อโฟรไดที่เล่นหัวหยอกเอินอยู่กับอีรอส บังเอิญถูกศรซึ่งอีรอสถืออยู่สะกิดเอาที่อุระ ถึงแม้ว่าจะเป็นแผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเพียงพอที่จะทำให้เจ้าแม่ตกอยู่ในอำนาจพิษศรของบุตรได้ ยังมิทันที่แผลจะเหือดหาย เจ้าแม่ได้พบกับ อโดนิส (Adonis) มานพหนุ่มพเนจรอยู่ในราวป่า ให้บังเกิดความพิสมัยจนไม่อาจระงับยับยั้งอยู่ในสวรรค์ได้ เจ้าแม่จึงลงมาจากสวรรค์มาพเนจรตามอโดนิส หมายที่จะได้ใกล้ชิดซึ่งกันและกันไม่ว่าจะไปทางไหนเจ้าแม่ก็จะตามไปด้วย

เทวีอโฟรไดที่หลงใหลและเป็นห่วงอโดนิสจนไม่เป็นอันระลึกถึงสถานแห่งหนึ่งแห่งใดที่เคยโปรดเที่ยวติดตามอโดนิสไปในราวป่าตลอดเวลาเพื่อคอยตักเตือน และกำชับอโดนิสในเวลาล่าสัตว์ มิให้หักหาญเสี่ยงอันตรายมากนัก ให้หลีกเลี่ยงสัตว์ใหญ่ ล่าแต่สัตว์เล็กชนิดที่พอจะล่าได้เท่านั้น ตลอดเวลาที่เฝ้าติดตามเจ้าแม่พะเน้าพะนอเอาใจอโดนิสด้วยประการทั้งปวง

แต่ความรักของเจ้าแม่ที่มีต่ออโดนิสเป็นความรักข้างเดียว เจ้าหนุ่มหาได้รักตอบเจ้าแม่ไม่ ชะรอยจะเป็นเพราะอีรอสมิได้แผลงศรรักเอากับเจ้าหนุ่มดอกกระมัง ด้วยเหตุนี้อโดนิสจึงไม่แยแสต่อคำกำชับตักเตือนของเจ้าแม่ คงเที่ยวล่าสัตว์ใหญ่น้อยเรื่อยไปตามใจชอบ วันหนึ่งเจ้าแม่อโฟรไดที่มีธุระต้องจากไป จึงทรงเทพยานเทียมหงส์เหินเหาะไปในนภากาศ ฝ่ายอโดนิสพบหมูป่าแสนดุร้ายเข้าตัวหนึ่ง (บางตำนานเล่าว่าหมูป่าตัวนี้ เกิดจากเสกจำแลงของ เทพเอเรส เนื่องจากหึงหวงความรักที่เทวีอโฟรไดที่มีให้แก่อโดนิส) และตามล่ามันไปจนหมูป่าจนมุมแล้ว อโดนิสก็ซัดหอกไปถูกหมูป่า แต่หอกพลาดที่สำคัญ หมูป่าได้รับความเจ็บปวดจึงเพิ่มความดุร้ายยิ่งขึ้น จึงรี่เข้าขวิดอโดนิสล้มลงถึงแก่ความตาย

เจ้าแม่อโฟรไดที่ได้สดับเสียงร้องโอดโอยของอโดนิสในกลางหาวผินพักตร์มาเห็นดังนั้น จึงชักรถเทียมหงส์กลับลงมายังพื้นปฐพี และลงจากรถเข้าจุมพิตอโดนิสซึ่งกำลังจะสิ้นใจ ครั้นแล้วเจ้าแม่ก็ครวญคร่ำรำพันพิลาปพิไร ด้วยสุดแสนอาลับรัก แถมทึ้งเกศาข้อนทรวงทำอาการต่างๆ ตามวิสัยผู้ที่คลุ้มคลั่ง เจ้าแม่รำพันตัดพ้อเทวีครองชะตากรรมที่ด่วนเด็ดชีวิตผู้เป็นที่รักของเจ้าแม่ให้พรากจากไป ประดุจควักดวงเนตรออกจากเจ้าแม่ก็ไม่ปาน พอค่อยหายโศกแล้วเจ้าแม่จึงเอื้อนโอษฐ์ออกปณิธานว่า "ถึงมาตรว่าดังนั้นก็อย่าหมายเลยว่า ผู้เป็นที่รักแห่งข้าจะต้องอยู่ในยมโลกตลอดกาล หยาดโลหิตของอโดนิสแก้วตาข้าจงกลายเป็นบุปผชาติชนิดหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ความโศกของข้าให้ข้าได้ระลึกถึงวาระเศร้าสลดครั้งนี้เป็นประจำปีเถิด" เมื่ออกปณิธานดังนั้นแล้ว เจ้าแม่ก็พรมน้ำต้อยเกสรอันศักดิ์สิทธิ์ลงบนหยาดโลหิตของอโดนิส บัดดลก็มีพันธุ์ไม้ดอกสีแดงเลือดดังสีทับทิมผุดขึ้น ดังมีชื่อเรียกกัน สืบๆ มาว่าดอกอโดนิส หรือ ดอกเออะเนมโมนิ (Anemone) ก็เรียก แปลว่า ดอกตามลม (บางตำนานว่าก็คือ ดอกกุหลาบนั่นเอง) เนื่องจากธรรมชาติซึ่งกล่าวกันว่า ลมทำให้ดอกไม้นี้แย้มบานและภายหลังก็พัดกลีบให้ร่วงหล่นไป มีฤดูกาลอยู่ได้เพียงชั่ว 3-4 เดือนเท่านั้น

ว่ากันว่าแรกเริ่มเดิมทีก่อนที่จะกลายเป็นเทวีแห่งความงามและความรักนั้น อโฟร์ไดที่เป็นเทวีแห่งความสมบูรณ์มาก่อน เมืองที่นับถือเจ้าแม่มากที่สุดได้แก่ เมืองปาฟอสในไซปรัสและเมืองไซธีราในเกาะครีต นอกจากนั้นวิหารที่เล่าลือว่าโอ่อ่าที่สุดของซีกโลกทางด้านตะวันออกได้แก่ วิหารที่เมืองคนิดุส ในรัฐแคเรีย (Caria) เมื่อเดินทางมาถึงกรีกก็มีผู้ศรัทธาเชื่อถือสร้างวิหารใหญ่ให้หลายแห่ง รวมทั้งกรุงเอเธนส์ซึ่งมีเทวีเอเธน่าเป็นเทพอุปถัมภ์อยู่บนเนินอโครโปลิส

อโฟรไดที่เป็นเทวีที่ชาวกรีกและโรมันโบราณถือว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์มากที่สุด เนื่องจากเจ้าแม่เป็นเทวีครองความรักและความงาม และความงามกับความรักก็เป็นสิ่งที่จับใจคนมากกว่าเรื่องอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เจ้าแม่จึงมักเป็นที่เทิดทูนและกล่าวขวัญในวิจิตรศิลป์และวรรณคดีต่างๆ นอกจากนั้นชาวกรีกและโรมันยังถือว่าเจ้าแม่เป็นเทวีครองความมีลูกดกและการให้กำเนิดทารกอีกด้วย มีคติความเชื่อประการหนึ่งซึ่งอย่างน้อยก็ยังพูดกันติดปากชาวตะวันตกมาจนถึง ปัจจุบันนี้ว่า ทารกถือกำเนิดเพราะนกกระสานำมา คตินี้สืบเนื่องจากข้อยึดถือของชาวกรีกและโรมันมาแต่เดิมเหมือนกัน

ในเทพปกรณัมกล่าวว่า นกกระสาเป็นนกประกอบบารมีของอโฟรไดที่ คราวใดมีนกกระสาผัวเมียไปทำรังอยู่บนยอดหลังคาบ้านใด ก็หมายความว่าเจ้าแม่อโฟรไดที่โปรดให้ครอบครัวในบ้านนั้นมีลูกและจะให้ประสบความรุ่งเรือง ในยุโรปโดยเฉพาะภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ถือนกกระสาประหนึ่งที่เคารพทีเดียว ในเยอรมันและเนเธอร์แลนด์ถือว่านกกระสาเป็นนกที่นำโชคลาภมาให้ ดังนั้นชาวเยอรมันและวิลันดาจึงยินดีที่จะให้นกกระสามาทำรังบนหลังคาบ้านเสมอ ยิ่งอาศัยอยู่นานเท่าใด ก็ยิ่งเป็นมงคลแก่บ้านนานเท่านั้น นกกระสาจึงเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่าวสำคัญตามเทพนิยาย นิทาน ชาวบ้าน และนิทานเทียบสุภาษิตต่างๆ ของฝรั่งด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้

อนึ่งชาวยุโรปทั่วไปเขาเชื่อกันมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษด้วยว่า ในคราวที่บ้านหนึ่งบ้านใดกำลังจะมีเด็ก เจ้าแม่อโฟรไดที่จะให้นกกระสามาบินวนเวียนเหนือบ้านนั้น คตินี้กินความไปถึงว่า ถ้านกกระสาบินวนเหนือบ้านที่กำลังจะมีเด็กเกิด เด็กนั้นจะคลอดออกจากครรภ์โดยง่ายและอยู่รอดด้วย แต่คตินี้ในที่สุดก็เป็นเพียงข้ออ้างที่พ่อแม่จะใช้ตอบลูกตอนโตๆ เมื่อถูกถามว่าน้องเล็กเกิดมาแต่ไหน หรือตัวเกิดจากอะไรเท่านั้น

เทวีอโฟร์ไดที่มีต้นเมอร์เทิลเป็นพฤกษาประจำองค์ สัตว์เลี้ยงของเจ้าแม่เป็นนก บ้างว่าเป็นนกเขา นกกระจอกบ้าง หงส์บ้าง ตามแต่กวีคนไหนจะชอบใจยกให้เป็น สัญลักษณ์ของเทวีแห่งความงามและความรัก

ตำนาน เทพแห่งความรัก เทพอีรอส (Eros) หรือ Cupid


เทวีอโฟร์ไดท์ให้ประสูติบุตรธิดาดับเทพเอเรส 3 องค์ ธิดาคือ นางเฮอร์โมไอนีนั้น ได้อภิเษกกับแคดมัสเจ้ากรุงธีบส์ ส่วนบุตรคือ คิวพิด กับแอนทีรอส คิวพิด นั้นคือกามเทพของโรมัน ชาวกรีกเรียกว่า อีรอส  อีรอสหรือคิวพิดซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดท์กับเอเรสนี้ เป็นคนละองค์กับอีรอสหรือคิวพิดที่อุบัติขึ้นแต่ครั้งสร้างโลก และการกล่าวขวัญถึงโดยทั่วๆ ไปก็มักจะหมายถึงอีรอสซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดท์กับเอเรสองค์นี้

นอกจากเทพอพอลโลแล้ว อีรอสเป็นที่ถือกันว่าประกอบด้วยรูปลักษณะงามที่สุดในบรรดาเทพทั้งหลาย ปรัชญาเมธีเพลโตกล่าวความอุปไมยเกี่ยวกับเทพองค์นี้ไว้ว่า "กามเทพ คือ อีรอส ย่อมเข้าสิงหัวใจคนก็จริง แต่ก็ไม่ทุกหัวใจไป ด้วยว่าที่ใดมีความแข็งกระด้างเธอก็ผละหนี เกียรติคุณอันล้ำเลิศของเธอนั้นอยู่ที่ว่า เธอหาอาจที่จะทำผิด หรือยอมให้ผู้ใดทำผิดไม่ แม้กำลังบังคับก็ไม่สามารถจะหักเธอได้ลง"

ว่ากันว่า ตำนานของเทพอีรอสผู้นี้ นักกวีชาวกรีกรุ่นก่อนมิได้แต่งขึ้น ต่อมากวีฮีสิออดได้แต่งให้มีเทพองค์นี้ เกิดขึ้น แต่มิใช่โอรสของเทวีอโฟร์ไดท์เลย เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นตำนานของเทพผู้นี้จึงเป็นนักกวีชาวโรมันเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น และจะมีเฉพาะตำนานของโรมันเท่านั้นที่มีเรื่องราวของเทพองค์นี้ปรากฏอยู่

ตามตำนานที่ยอมรับทั่วไปกล่าวว่า อีรอสเป็นเทพ "ติดแม่" เป็นที่สุด เมื่อมีเทวีอโฟร์ไดท์อยู่ ณ ที่ใดอีรอสก็ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้นด้วย อันเป็นข้อเปรียบถึงธรรมดาแห่งความงามและกามวิสัยนั่นเอง อีรอสถือลูกศรแห่งกามฉันท์กับคันธนูน้อยเป็นอาวุธ สำหรับยิงเสียบหัวใจของเทพและมนุษย์ให้เกิดความปรารถนาเร่าร้อนไปด้วยความพิศวาส โดยที่ในชั้นเดิมเธอเป็นเด็กเยาว์อยู่เป็นนิตย์ไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงต้องมีเทพน้อยอีกองค์ หนึ่งอุบัติขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนเล่นและบริวารของเธอ เรียกว่า แอนทีรอส กำเนิดของแอนทีรอสนั้นมีตำนานเล่าไว้ดังนี้

เมื่อไม่เห็นอีรอสเจริญวัยขึ้นเสียเลย อโฟรไดท์ปรารภกับธีมิส เทวีแห่งความยุติธรรมว่า อีรอสบุตรของเธอทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงดูเธอให้โตขึ้นได้ ธีมิสชี้แจงว่า เหตุที่อีรอสไม่เติบโตก็เพราะเธอขาดเพื่อนเล่นแก้เหงา ถ้ามีน้องเกิดขึ้นสักองค์หนึ่งเธอคงจะโตขึ้นอีกมาก ต่อมาในไม่ช้าแอนทีรอสก็เกิดขึ้นภายหลังแต่นั้นอีรอสก็เติบโตแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว (ถึงกระนั้นรูปคิวพิดหรืออีรอส ที่เขียนและแกะสลักกันขึ้นทั่วไปก็ไม่พ้นรูปเด็ก) แอนทีรอสนอกจากจะเป็นเพื่อนเล่นของอีรอสแล้ว ยังถือกันว่าเป็นเทพบันดาลให้มีการรักตอบด้วย

เรื่องของเทพ อีรอสกับนางไซคิ ซึ่งจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดเรื่องหนึ่งในเทพปกรณัมกรีกโรมัน ด้วยเป็นเรื่องที่จับใจและให้คติน่าคิดหลายทำนอง สุดแต่ผู้อ่านผู้ฟังจะคิดเห็นตามอัธยาศัย โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องรักของเทพอีรอส เอง ผู้มีฤทธิ์จะบันดาลให้ใครรักใครก็ได้ประการหนึ่ง และชื่อนาง ไซคิ (Psyche) ตัวเอกของเรื่องนั้นก็เผอิญเป็นคำเดียวกันกับ คำที่หมายถึงจิตใจหรือดวงวิญญาณอีกประการหนึ่งด้วย หรืออาจกล่าวว่า เทพปกรณัมกรีกอุปโลกน์นางไซคิให้หมายแทนลักษณะของดวงวิญญาณก็ได้ บรรยายตามเรื่องที่เล่าในปกรณัมนั้นว่า

ในกาลครั้งหนึ่ง กษัตริย์องค์หนึ่งของกรีกมีธิดา 3 องค์ ล้วนทรงสิริโฉมงามสะคราญ แต่ความงามของ 2 องค์พี่รวมกันจะเทียม เท่าด้วยความงามองค์น้องสุดก็หาไม่ ธิดาองค์หลังสุดนี้ทรงนามว่า ไซคิ เป็นเจ้าของความงามอันลือเลื่องเฟื่องฟุ้งยิ่งนัก ถึงกับใครๆ พากันยกย่องเทิดทูนจนลืมบูชาเทวีอโฟร์ไดท์ เจ้าแม่แห่งความงามเสีย เป็นเหตุให้ศาลของเจ้าแม่เงียบเหงาวังเวง แท่นที่บูชาเจ้าแม่ก็ว่างเปล่าหาผู้ใดจะเข้าไปบวงสรวงมิได้ แม้แต่แขกเมืองก็พากันผ่านศาลเจ้าแม่ไปชมความงามของไซคิกันหมดสิ้น เจ้าแม่ริษยานวลอนงค์ยิ่งนัก คิดใคร่จะแกล้งนางไซคิให้ตกต่ำด้วยความอัปยศ เพื่อมิให้คนทั้งปวงยกย่องเทิดทูนและใฝ่ฝันถึงนางอีกต่อไป เจ้าแม่จึงเรียกอีรอสเทพบุตรมาบอกความประสงค์ของเจ้าแม่ให้ทราบ โดยสั่งให้อีรอสไปทำให้นางไซคิหลงรักสัตว์อุบาทว์ทรลักษณ์สักคนหนึ่ง

อีรอสกระทำตามเจ้าแม่สั่ง แต่ผลปรากฏในภายหลังกลับกลายเป็นว่า "สัตว์อุบาทว์ทรลักษณ์" ที่ไซคิจะต้อง หลงรักนั้นได้แก่ อีรอสเอง !

ในอุทยานของเจ้าแม่อโฟร์ไดท์มีน้ำพุอยู่ 2 แอ่ง แอ่งหนึ่งเป็นน้ำหวาน อีกแอ่งเป็นน้ำขม น้ำพุหวานเป็นน้ำสำหรับบันดาลความ ชื่นบาน ส่วนน้ำขมสำหรับบันดาลความขมขื่นระทมใจ ในครั้งแรกอีรอสตักน้ำพุทั้งสองชนิดบรรจุกุณโฑชนิดละใบนำไปยังห้องที่ไซคิหลับอยู่ อีรอสเอาน้ำขมในกุณโฑประพรมลงบนโอษฐ์ไซคิแล้วจึงเอาปลายศรบันดาลความพิศวาส สะกิดสีข้างของนางในบัดดลไซคิก็สะดุ้งตื่น ถึงแม้ว่าอีรอสจะมิได้ปรากฏองค์ให้นางเห็น แต่ด้วยอารามลืมองค์ เธอจึงทำศรสะกิดองค์เธอเองด้วย เพราะตกใจและเธอก็ตกห้วงรักนางไซคิด้วยอำนาจศรของเธอเองตั้งแต่บัดนั้น เธอเอาน้ำพุหวานรดลงบนเรือนผมของไซคิ แล้วก็ผละผินบินออกจากที่นั้นไป

เวลาผ่านไปไซคิก็ยิ่งเหงาเปล่าเปลี่ยวใจไม่มีผู้ใดใฝ่ฝันจะขอวิวาห์ด้วย สายตาคนทั้งหลายยังคงตะลึงลานในรูปโฉมและคำคนยังแจ้วจำนรรจาสรรเสริญนางยังมีอยู่ แต่มิมีใครสู่ขอนางเป็นคู่ชีวิต เนื่องจากใครๆ ก็พากันเกรงนางอยู่สุดเอื้อมเหมือนกันหมด พี่สาวทั้งสองของนางได้แต่งงานไปแล้วกับเจ้ากรีกต่างนคร ส่วนไซคิยังคงอยู่เดียวเปลี่ยวใจต่อมาอีกเป็นเวลานาน จนบิดามารดาของนางเกิดปริวิตกเกรงว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะมีความบกพร่องอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งตนได้กระทำลงไปโดย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เทพเจ้าโกรธถึงบันดาลโทษให้ปรากฏเช่นนี้ ท้าวเธอจึงบวงสรวงเสี่ยงทายคำพยากรณ์แห่งเทพอพอลโล และได้รับคำพยากรณ์ว่า นางจะได้คู่ครองเป็นมนุษย์ปุถุชนก็หาไม่ คู่ครองของนางในภายหน้านั้นคอยนางอยู่แล้วบนยอดเขาขุนเขา เป็นอมนุษย์ซึ่งไม่มีมนุษย์หรือเทพองค์ใดจะขัดขืนหรือต้านทานได้

คำพยากรณ์นี้เป็นเหตุให้เกิดความเศร้าสลดแก่คนทั้งหลายและบิดามารดาของนางไซคิอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ตัวนางเองหาย่อท้อไม่ นางกลับเห็นว่าเมื่อวาสนาชะตากรรมของนางจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ตาม บิดามารดาของนางจึงจัดแจงส่งนางขึ้นไปบนยอดเขา ประกอบด้วยขบวนแห่แหนดั่งแห่ศพฉะนั้น ฝูงคนทั้งปวงที่ตามขบวนแห่ก็ล้วนแต่เศร้าหมองมีใจคอห่อเหี่ยวอาลัย เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วบิดามารดาของนางและคนทั้งปวงก็พากันกลับ พร้อมด้วยใจละห้อยละเหี่ยยิ่งกว่าตอนขาไปอีก

นางไซคิยืนถอนสะอื้นด้วยความใจหายและว้าเหว่โดยลำพังตนอยู่บนชะง่อนหิน ในบัดดลเทพเสฟไฟรัสเจ้าแห่งลมตะวันตกก็บรรจงโอบอุ้มร่างไซคิขึ้นจากยอดเขา และหอบนางให้เลื่อนลอยลงสู่สถานแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยติณชาติเขียวขจี ห้อมล้อมด้วยนานารุกขพฤกษาชาติร่มรื่น นางเหลียวมองดูรอบข้างเห็นที่แห่งหนึ่งประกอบ ด้วยซุ้มไม้ซึ้งตาดูชอบกล นางจึงเยื้องกรายเข้าไป เห็นธารน้ำพุใสไหลรินดังธารแก้วผลึก และถัดจากนั้นไปมีตำหนักหนึ่งตั้งตระหง่านตระการตา ไซคิค่อยมีใจเบิกบานและอาจหาญขึ้นจึงเดินเข้าไปในตำหนัก ภายในตำหนักล้วนแล้วด้วยทัศนาภาพอันวิจิตรหาที่เปรียบมิได้ในบรรดาที่มีในมนุษย์โลก แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ปรากฏอยู่ในที่นั้นเลย

ในขณะที่เพลินชมภาพเจริญตาทั้งมวลภายในตำหนักนั้น พลันนางไซคิได้ยินเสียงพูดกับนางอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่เห็นตัว พูดว่า "ข้าแต่นางนาฏผู้เป็นใหญ่ สิ่งทั้งปวงที่ปรากฏแก่ตาท่านในที่นี้เป็นของท่านทั้งหมด พวกเราเจ้าของเสียงนี้คือบริวารของท่าน ซึ่งจะ ปฏิบัติตามคำสั่งท่านทุกประการ จงวางใจพวกเราเถิด พวกเราจัดห้องบรรทมและกระยาหารสรรพด้วยรสอันจะพึงใจท่านพร้อมแล้ว ขอท่านจงเสพกินตามอัธยาศัยเถิด"

ไซคิปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญ และคอย "อมนุษย์" ผู้จะมาครองคู่กับนางตลอดเวลานั้นนางได้ยินเสียงดนตรีทิพย์ บรรเลงขับกล่อมแสนไพเราะหูยิ่งนัก แต่ "อมนุษย์" คู่ครองนางหาได้มาในยามกลางวันไม่ หากยามราตรีกาลมืดสนิทจึงจะมา และพอเวลาใกล้รุ่งก็กลับไป ไซคิไม่สามารถแลเห็นคู่ครองของนางเลยว่ามีรูปร่างพิกลอย่างไร นางเพียงแต่ ได้ยินคำพร่ำพรอดอันเต็มไปด้วย ความอ่อนหวาน ซึ่งก็ชักจูงจิตใจนางให้เคลิบเคลิ้มพลอยสนิทเสน่หาไปด้วยเท่านั้น

ไซคิอยู่ครองกับอีรอสโดยไม่รู้ว่าคู่ครองนางเป็นใครเป็นเวลาแรมเดือน ถึงนางจะอ้อนวอนเท่าใด อีรอสก็ไม่ยอมอยู่ให้นางเห็น ยิ่งกว่านั้นเธอยังสั่งห้ามนางมิให้จุดไฟในราตรีกาลหรือถามนามของเธอเป็นอันขาด เธอให้เหตุผลกับนางว่า "เจ้าจะต้องการ เห็นข้าเพื่อประสงค์ใด เจ้ายังคลางแคลงใจในความรักของข้าอยู่หรือ ถ้าเจ้าแลเห็นชะรอยเจ้าอาจเทิดทูนบูชาหรือกลัวข้าก็ได้ แต่ข้าอยากให้เจ้าสมัครรักใคร่ข้าในฐานะปุถุชนคนเสมอกันมากกว่าอยากให้เจ้าเทิดทูนข้าเสมอด้วยเทพดอกนะ" ไซคิยอมจำนนต่อเหตุผลของอีรอส จึงสงบเงียบ ไม่ออดอ้อนเซ้าซี้คู่ครองนางอีก ต่อมาด้วยความคิดถึงวงศาคนาญาติ ทำให้นางไซคิขออนุญาตอีรอสเชิญพี่สาวไปเที่ยวที่ตำหนัก ในครั้งแรกอีรอสอิดเอื้อน แต่ในที่สุดก็อนุญาต

ฝ่ายพี่สาวทั้งคู่ของนางไซคิได้รับคำเชิญชวนของน้องสาวก็รีบมาด้วยความอยากรู้ว่าน้องสาวของตนจะอยู่กับอมนุษย์อย่างไร ครั้นมาถึงยอดเขาที่นางไซคิมาเป็นครั้งแรก ลมเสฟไฟรัสก็พัดโบกโอบอุ้มสองนางนั้นให้เลื่อนลอยลงมายังตำหนักของไซคิ เป็นที่พิศวงแก่นางทั้งสองยิ่งนัก และเมื่อน้องสาวพาเข้าไปในตำหนัก นางทั้งสองกลับเพิ่มความพิศวงขึ้นอีกในการที่ได้เห็นควมงามอันวิจิตรภายในตำหนัก ได้ประจักษ์ว่าข้าทาสบริวารของน้องสาวในสถานที่นั้นมีแต่เสียงไม่เห็นตัว ซ้ำคู่ครองของนางก็ไม่เคยแสดงโฉมหน้าหรือเผยชื่อให้ปรากฏ สองนางพี่น้องจึงเสี้ยมสอนยุยงไซคิถึงวิธีลักลอบดูตัวคู่ครองนาง หากว่าเป็นอมนุษย์ทรลักษณ์จริงจะได้ฆ่าเสีย

ไซคิปฏิบัติตามคำเสี้ยมสอนยุยงอย่างเสียมิได้ นางจัดแจงหาตะเกียงและมีดดาบซ่อนไว้ไม่ให้อีรอสเห็น เมื่ออีรอสนิทราหลับสนิท นางจึงลุกขึ้นจุดตะเกียงส่องดูสามี ไซคิก็รู้สำนึกว่าตนทำผิดโดยล่วงละเมิดคำสั่งห้ามของภัสดาไปเสียแล้ว
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของนาง หาใช่อมนุษย์ไม่ แต่เป็นองค์เทพที่สง่างามละไมตาหาที่เปรียบมิได้ ณ เบื้องปฤษฎางค์ของอังสานั้นมีปีกติดอยู่ทั้งสองข้าง นางก็รู้ในบัดนั้นแล้วว่า อีรอสคือสามีของนาง ในขณะที่นางถือตะเกียงเขยิบเข้าไปพิศดูใกล้ๆ อย่างเพลินตานั้น น้ำมันตะเกียงซึ่งยังร้อนหยดลงบนผิวของอีรอส อีรอสสะดุ้งตื่นจากนิทราทันที พอเห็นเหตุดังนั้นเธอก็กางปีกออกโผผละจากที่นั้นไปทางช่องแกล ไซคิพยายามโผติดตามแต่กลับตกลงกับพื้น อีรอสโกรธนางไซคิถึงกับออกโอษฐ์ว่า "ดูก่อน ไซคิผู้โฉดเขลา เจ้าตอบแทนความรักของข้าโดยฉะนี้ดอกหรือ ไปเถิดไปหาพี่สาวของเจ้าผู้เสี้ยมสอนดีเถิด ข้าจะลงโทษเจ้าโดยจากเจ้าตลอดกาลแต่บัดนี้ ด้วยความรักย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากความไว้วางใจ" แล้วอีรอสก็เหินหายลับไปในอากาศ ฝ่ายไซคิคืนสติเหลียวมองดูรอบข้าง ได้รู้ว่าทั้งตำหนักและอุทยานได้อันตรธานหายไป คงเหลือแต่นางอยู่แต่เดียวดายโดยลำพัง ให้บังเกิดความว้าเหว่ระทมทุกข์ยิ่งนัก

ไซคิออกจากที่นั่น ไปหาพี่สาวและเล่าเหตุที่เกิดทั้งหมดให้พี่สาวฟัง สองนางแสร้งทำเป็นพลอยเศร้าสลดแต่ใจจริงลิงโลดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางคบคิดกันจะไปยังที่นั้นอีก หากว่าอีรอสจะเลือกนางคนใดคนหนึ่งในสองพี่น้องแทนนางไซคิ นางแต่ละคนต่างก็ขึ้นไปบนยอดเขาเรียกให้ลมเสฟไฟรัสมารับตัวลงไป แต่ลมไม่ได้รับคำสั่งจากอีรอสจึงไม่มารับดั่งในครั้งก่อน พอนางแต่ละคนโผออกจากยอดเขาด้วยสำคัญผิดว่าลมเสฟไฟรัสมารับ นางก็กลับตกเขาตาย

ในระหว่างนั้น ไซคิซัดเซพเนจรเที่ยวค้นหาสามีไปตามที่ต่างๆ พบใครก็สืบถามดะไปหมด เช่น นางได้พบแพน เทพบุตรขาแพะ แต่เทพก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากฟังเรื่องและปลอบใจนางเท่านั้น วันหนึ่งนางมาถึงศาลเจ้าแม่ดีมิเตอร์ เทวีครองการเก็บเกี่ยว เห็นเคียว ข้าวโพด และเครื่องมืออื่นๆ กองสุมกันอยู่ระเกะระกะไม่เป็น ระเบียบนางจึงจัดข้าวของเสียใหม่ให้เป็นหมวดหมู่ ดูเรียบร้อย เจ้าแม่ดีมีเตอร์ก็โปรดให้บังเกิดความสมเพชสงสารนางไซคิในความอาภัพอัปภาคย์ของนางเป็นอย่างยิ่ง เจ้าแม่จึงแนะนำให้นางไปที่ศาลเจ้าแม่อโฟร์ไดท์ และให้บวงสรวงวอนขอความกรุณาต่อเจ้าแม่ดูสักครั้งหนึ่ง

แต่เจ้ากรรม เทวีแห่งความงามยังไม่หายคุมแค้นนางไซคิ เจ้าแม่บริภาษเปรียบเปรยว่าว่านางเป็นประการต่างๆ ให้นางระกำใจ มิหนำซ้ำยังใช้ให้นางทำการอย่างหนึ่งซึ่งเป็นงานเหนือวิสัยมนุษย์ปุถุชนจะทำได้ คือ ให้จำแนกเมล็ดพืชนานาชนิดที่ระคนปนกันอยู่ในฉางออกจากกันเป็นพวกๆ ให้เสร็จก่อนค่ำ เพื่อเก็บไว้ให้นกพิราบของเจ้าแม่กิน ถ้านางทำได้สำเร็จเจ้าแม่ก็จะยอมยกโทษให้

นางไซคิมองดูธัญชาติในฉางด้วยความท้อถอย ทอดอาลัยสุดที่จะคิดอ่านประการใด ในขณะนั้นเองมดฝูงหนึ่งก็มาช่วยกันขนเมล็ดข้าวนานาชนิดไปกองไว้เป็นพวกๆ มดฝูงนั้นมาตามคำบัญชาของอีรอสเพื่อช่วยงานของนางไซคิให้สำเร็จด้วยความสงสาร จนเสร็จภายในเวลาที่กำหนดแล้วก็หายตัวไป พอเวลาพลบ เจ้าแม่ลงมาจากเขาโอลิมปัส ได้เห็นงานสำเร็จเรียบร้อยดังนั้น แทนที่จะโปรด กลับระบุว่านางคงไม่ได้ทำงานสำเร็จด้วยตนเอง และว่าผู้ที่ช่วยนางในครั้งนี้มิใช่ใครอื่น นอกจากอีรอสเป็นแน่ เจ้าแม่ยังไม่ยอมยกโทษให้ หากกลับใช้นางทำการอีกอย่างหนึ่งต่อไป

ในคราวนี้เจ้าแม่อโฟร์ไดท์ใช้นางไซคิให้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งไปถอนขนแกะซึ่งไม่มีผู้ใดเลี้ยง ณ ฟากตรงข้ามของแม่น้ำเอามาถวายเจ้าแม่ แกะฝูงนั้นล้วนมีขนเป็นทองคำ และเจ้าแม่ก็พึงประสงค์ขนแกะทองคำมากที่สุด ให้นางไซคิถอนขนแกะทุกตัวตัวละขนเอามาถวายให้จงได้ ไซคิไปถึงริมฝั่งแม่น้ำแต่เช้าแต่ต้นอ้อริมฝั่งแม่น้ำหน่วงนางเอาไว้ ทั้งนี้ด้วยเทพประจำแม่น้ำสงสารนางว่าจะไปตายเสียเปล่า จึงสั่งความลับไว้ให้ต้นอ้อบอกแก่นางเกี่ยวกับวิธีที่ปลอดภัยในการไปเอาขนแกะทองคำ ความลับ นั้นมีว่า ตั้งแต่เวลาเช้าถึงเที่ยงแม่น้ำมีอันตรายมาก และแกะฝูงนั้นก็ดุร้าย ถึงนางจะข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จก็น่ากลัวจะไม่วายถูกฝูงแกะทำลายชีวิตเสีย ต่อเวลาเที่ยงล่วงแล้วฝูงแกะจึงกลับเชื่อง และแม่น้ำก็สงบนิ่ง ให้นางรออยู่จนถึงเวลานั้นจึงค่อยข้ามแม่น้ำไป นางจะพบขนแกะทองคำติดตามพุ่มไม้ ให้นางเที่ยวเก็บเอาตามพุ่มไม้ เหล่านั้นเถิด

นางไซคิปฏิบัติตามคำแนะนำของต้นอ้อทุกประการ ในไม่ช้าก็หอบขนแกะทองคำเอามาถวายเจ้าแม่อโฟร์ไดท์เป็นอันมาก เจ้าแม่ไม่สมหวังในการประทุษร้ายนางไซคิในครั้งนี้ จึงแกล้งใช้นางให้ทำธุระอีกอย่างหนึ่งเป็นครั้งที่สาม

โดยงานชิ้นที่สามที่เทวีอโฟร์ไดท์ได้สั่งให้นางไซคิทำก็คือ การนำโถใบหนึ่งลงไปในยมโลก ไปเฝ้าเพอร์เซโฟนีเทวี ทูลขอเครื่องประกอบความงามของเจ้าแม่ ให้เจ้าแม่บรรจุลงในโถใบนี้แล้วนำกลับมาให้แก่ตน ให้รีบไปและรีบกลับโดยเร็วก่อนค่ำวันนี้

ไซคิเมื่อได้ยินคำสั่งดังนี้ ให้นึกแน่ว่าครั้งนี้นางคงถึงแก่อับจนไม่พ้นมือมัจจุราชเป็นเที่ยงแท้ แต่นางก็คิดว่าดีเหมือนกัน เรื่องราวทั้งหลายจะได้ยุติลงเสียที และเพื่อตัดบทในการที่จะดั้นด้นลงสู่ยมโลกที่มนุษย์ปุถุชนไม่สามารถที่จะทำได้ นางจึงขึ้นไปบนยอดหอสูงหมายจะโดดลงมาให้ตาย เพื่อมิให้ร่างกายต้องทรมาน และในบัดดล พลันได้ยินเสียงหนึ่งในหอลอยมากระทบหูของนาง เป็นคำปลอบและบอกทางให้นางลงสู่ยมโลกโดยลัดเลาะไปตามถ้ำ ลงเรือจ้างของเครอนข้ามแม่น้ำคั่นตรุที่ประทับของเทพ ฮาเดส และบอกวิธีหลีกเลี่ยงเซอร์บิรัส สุนัขสามหัวให้ด้วย แต่กำชับว่าในระหว่างที่ยังอยู่ในยมโลก นางจะกินผลไม้ใดๆ มิได้ เว้นแต่อาหารที่ทำด้วยแป้ง และเมื่อเพอร์เซโฟนีเทวีมอบโถให้แล้วห้ามมิให้นางเปิดโถนั้นดูเป็นอันขาด นางไซคิปฏิบัติตามคำ แนะนำของเสียงนั้นอย่างเคร่งครัดทุกประการ เว้นแต่ประการสุดท้ายประการเดียว

ในขณะที่ไซคินำโถกลับมาตามทางนั้น นางคิดว่าความงามอันใดบรรจุอยู่ในโถ ถ้านางเปิดโถออกให้ความงามนั้นพลุ่งขึ้นเสริมความงามของนางเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นคงเป็นการดีไม่น้อย นางลุอำนาจแก่ความอยากรู้อยากเห็นเช่นนั้น จนลืมคำกำชับห้ามปราม พอเปิดโถออกนางก็ล้มสลบแน่นิ่งไป ด้วยสิ่งที่บรรจุอยู่ในโถมิใช่ความงาม แต่เป็นความหลับในยมโลก 

ฝ่ายอีรอสซึ่งยังอยู่ในอำนาจพิษศรกามของเธอเอง ในขณะนั้นหายโกรธแล้ว ให้ระลึกถึงนางไซคิเป็นที่สุด เธอรู้ว่าไซคิประสบเคราะห์กรรมเป็นไฉนจึงบินออกจากทิพมนเทียรลงสู่บาดาล เก็บความหลับกลับคืนในโถแล้วเอาปลายศรสะกิดเบาๆ นางก็ฟื้นตื่นจากวิสัญญีภาพ เธอตัดพ้อชี้ให้เห็นโทษของความสอดรู้สอดเห็นอันบังเกิดแก่นางถึงสองครั้งแล้ว ให้นางปฏิบัติภาระที่ได้รับ มอบจากเจ้าแม่อโฟร์ไดท์ต่อไปให้เสร็จ ส่วนตัวอีรอสเองจะขึ้นไปบนสวรรค์ทูลขอต่อซูสให้โปรดเกลี้ยกล่อมเจ้าแม่แห่งความงามงดโทษโกรธขึ้งนางไซคิเสีย ซึ่งซูสเทพบดีก็โปรดให้ตามที่ขอ เมื่อเจ้าแม่อโฟร์ไดท์ยอมงดโทษแก่นางไซคิแล้ว ซูสจึงประทานน้ำอมฤตให้นางไซคิดื่ม ซึ่งจะทำให้เป็นอมตะอยู่ครองคู่กับอีรอสโดยไม่พลัดพรากจากกันอีกเลยนับแต่บัดนั้นมา

ตำนาน เทพีแห่งสงครามและปัญญา เทพีอาเทน่า (Athena)


การถือกำเนิดของ เอเธน่า นั้น กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่ง ซูส ได้รับคำทำนายว่า โอรสธิดาที่ประสูติแต่มเหสีเจ้าปัญญานาม มีทิส (Metis) นั้นจะมาโค่นบัลลังก์ของพระองค์ ไท้เธอก็แก้ปัญหาด้วยการจับเอามีทิสซึ่งทรงตั้งครรภ์แก่นั้นกลืนเข้าไปในท้อง แต่เวลาไม่นานนัก ซูสบังเกิดอาการปวดเศียรขึ้นมา ให้รู้สึกปวดร้าวเป็นกำลัง ไท้เธอจึงมีเทวโองการสั่งให้เรียกประชุมเทพทั้งปวงบนเขาโอลิมปัสให้ช่วยกันหาทางบำบัดเยียวยา แต่ความอุสาหพยายามของทวยเทพก็ไม่เผล็ดผล ซูสไม่อาจทนความเจ็บปวดต่อไปได้ ในที่สุดจึงมีเทวบัญชาสั่งโอรสองค์หนึ่งของไท้เธอ คือ ฮีฟีสทัส (Hephaestus) หรือ วัลแคน (Vulcan) ให้ใช้ขวานแล่งเศียรของไท้เธอออก เทพฮีฟีสทัสปฏิบัติตาม เอาขวานจามลงไป ยังไม่ทันเศียรซูสจะแยกดี เทพีเอเธน่าก็ผุด ขึ้นมาจากเศียรเทพบิดา ในลักษณะเจริญวัยเต็มที่แต่งฉลององค์หุ้มเกราะแวววาว พร้อมสรรพ ถือหอกเป็นอาวุธ และประกาศ ชัยชนะเป็นลำนำกัมปนาทเป็นที่พิศวงหวั่นหวาดแก่ทวยเทพเป็นที่สุด พร้อมกันนั้นทั่วพื้นพสุธาและมหาสมุทร ก็บังเกิดอาการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างใหญ่ ประกาศกำเนิดเทพีองค์นี้สนั่นไปทั้งโลก

การอุบัติของเทพีองค์นี้ถือว่าเป็นไปเพื่อยังสันติสุขให้บังเกิดในโลกและขจัดความโฉดเขลาที่ครองโลกจนตราบเท่าบัดนั้นให้สิ้นไป ด้วยว่าพอเจ้าแม่ผุดจากเศียรซูส เทพีแห่งความโฉดเขลาซึ่งไม่ปรากฏรูปก็ล่าหนีให้เจ้าแม่เข้าครองแทนที่ ด้วยเหตุนี้เทพีเอเธน่าจึงเป็นที่นับถือบูชาในฐานะเทพีครองปัญญา นอกจากนั้น เจ้าแม่ยังมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย และการยุทธศิลปป้องกันบ้านเมือง

ภายหลังการอุบัติของเจ้าแม่เอเธน่าไม่นาน มีหัวหน้าชนชาวฟีนิเชียคนหนึ่งชื่อว่า ซีครอบส์ (Cecrop) พาบริษัทบริวารอพยพเข้าไปในประเทศกรีซ เลือกได้ชัยภูมิอันตระการตาแห่งหนึ่งในแคว้น อัตติกะ (Attica) ตั้งภูมิลำเนาก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นเป็นนครอันสวยงามนครหนึ่ง เทพทั้งปวงเฝ้าดูงานสร้างเมืองนี้ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเมืองมีเค้าจะกลายเป็นนครอันน่าอยู่ขึ้นมาแล้ว เทพแต่ละองค์ต่างก็แสดงความปรารถนาใคร่จะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร จึงประชุมกันถกถึงเรื่องนี้ เมื่อมีการอภิปรายโต้แย้งกันพอสมควรแล้ว เทพส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็พากันยอมสละสิทธิ์ คงเหลือแต่เทพโปเซดอนและเทพีเอเธน่า 2 องค์เท่านั้นยังแก่งแย่งกันอยู่

เพื่อยุติปัญหาว่าใครควรจะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร เทพซูสไม่พึงประสงค์จะชี้ขาดโดยอำนาจตุลาการที่ไท้เธอจะพึงใช้ได้ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ครหาว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไท้เธอจึงมีเทวโองการว่านครนั้นพึงอยู่ในความคุ้มครองของเทพหรือเทพี ซึ่งสามารถเนรมิตของที่มีประโยชน์ที่สุดให้มนุษย์ใช้ได้ และมอบหน้าที่ตัดสินชี้ขาดให้แก่ที่ประชุม

เทพโปเซดอนเป็นฝ่ายเนรมิตก่อน เธอยกตรีศูลคู่หัตถ์ขึ้นกระแทกลงกับพื้น บันดาลให้มีม้าลำยองตัวหนึ่งผุดขึ้นท่ามกลางเสียงแสดงความพิศวงและชื่นชมของเหล่าเทพ เมื่อเทพผู้เนรมิตม้าอธิบายคุณประโยชน์ของม้าให้เป็นที่ตระหนักแก่เทพ ทั้งปวงแล้ว เทพต่างองค์ต่างก็คิดเห็นว่า เทพีเอเธน่าคงไม่สามารถเอาชนะเนปจูนเสียเป็นแน่แล้ว ถึงกับพากันแย้มศรวลด้วยเสียงอันดังแกมเย้ยหยันเอาเสียด้วย เมื่อเจ้าแม่เอเธน่าเนรมิตต้นมะกอกต้นหนึ่งขึ้นมา แต่ครั้นเจ้าแม่อธิบายถึงคุณประโยชน์ของต้นมะกอกที่มนุษย์จะเอาไปใช้ได้นานัปการนับตั้งแต่ใช้เนื้อไม้ ผล กิ่งก้าน ไปจนใบ กับซ้ำว่ามะกอกยังเป็นเครื่องหมายถึงสันติภาพและความรุ่งเรืองวัฒนาอีกด้วย และเพราะฉะนั้นจึงเป็นที่พึงประสงค์ยิ่งกว่าม้าซึ่งเป็นเครื่องหมายของสงครามดังนี้ มวลเทพก็เห็นพ้องต้องกันว่า ของที่เจ้าแม่เอเธน่าเนรมิตมีประโยชน์กว่า จึงลงมติตัดสินชี้ขาดให้เจ้าแม่เป็นฝ่าย ชนะ

เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงชัยชนะครังนี้ เจ้าแม่เอเธน่าได้ประสาทชื่อนครนั้น ตามนามของเจ้าแม่เองว่า เอเธนส์ (Athens) และสืบจากนั้นมาชาวกรุงเอเธนส์ก็นับถือบูชาเจ้าแม่ในฐานะเทพีผู้ปกครองนครของเขาอย่างแน่นแฟ้น

ตามที่อ่านกันมานั้น เห็นได้ว่าเรื่องนี้ใช่จะแสดงตำนานที่มาของชื่อกรุงเอเธนส์เท่านั้นไม่ หากยังเป็นตำนานกำเนิดของม้าในเทพปกรณัมกรีก และเป็นต้นเรื่องของการที่ชาวตะวันตกถือว่าช่อมะกอกเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพสืบๆ กันมาจนตราบทุกวันนี้

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเทพีเอเธน่า แสดงที่มาหรือกำเนิดของสิ่งธรรมชาติสนองความอยากรู้ของคนโบราณดังจะ เล่าต่อไปนี้

ในประเทศกรีซสมัยดึกดำบรรพกาลโพ้น มีดรุณีน้อยคนหนึ่งประกอบด้วยรูปโฉมสะคราญตาน่าพิสมัยยิ่ง จนถึงแก่ว่าถ้านางไม่มีความหยิ่งผยองในฝีมือทอผ้าและปั่นด้ายเป็นยอดเยี่ยมเสียอย่างเดียวเท่านั้น นางก็คงจะเป็นที่รักของเทพและมนุษย์ทั้งมวลอย่างไม่ต้องสงสัย

นางมีชื่อว่า อาแรคนี (Arachne) ด้วยความลุ่มหลงทะนงตนนางสำคัญว่าไม่มีผู้ใดอีกแล้วจะมี ฝีมือเสมอกับนาง ในที่สุดจึงกำเริบถึงแก่คุยฟุ้งเฟื่องไปว่า ถึงเจ้าแม่เอเธน่าจะลงมาประกวดฝีมือกับเธอ นางก็ยินดีจะขันสู้ไม่รอช้าเลย นางโอ้อวดดังนี้เนืองๆ จนเจ้าแม่เอเธน่าสุดแสนจะทนรำคาญต่อไปได้ ต้องลงมาจากเขาโอลิมปัสเพื่อลงโทษนางอาแรคนีมิให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่างสืบไป

เจ้าแม่จำแลงองค์เป็นยายแก่ เดินเข้าไปในบ้านของนางอาแรคนี และนั่งลงชวนคุย ชั่วประเดี๋ยวเดียวนางแน่งน้อยก็จับคุยถึงฝีมือตน และเริ่มโวเรื่องจะแข่งขันประกวดฝีมือกับเจ้าแม่เอเธน่าอีก เจ้าแม่ตักเตือนโดยละม่อมให้นางยับยั้งคำไว้เสียบ้าง เตือนว่าคำของนางซึ่งพูดเอาเองเป็นเหตุให้เทพเจ้าขัดเคืองจะทำให้นางเคราะห์ร้าย แต่นางอาแรคนีมีจิตมืดมนมัวเมาไปในความทรนงตนเสียแล้วจนไม่แยแสต่อคำตักเตือน กลับพูดสำทับว่า นางอยากให้เจ้าแม่ได้ยินและลงมาท้าประกวดฝีมือเสียด้วยซ้ำ นางจะได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์เพื่อพิสูจน์ว่า คำกล่าวอ้างของนางเป็นความจริงเพียงใด ไม่ใช่พูดเอาเอง คำหยาบหยามนี้ยั่วโมสะเจ้าแม่ถึงขีดสุด ถึงกับสำแดงองค์ให้ปรากฏแก่อาแรคนีตามจริงและรับคำท้านั้นทันที

ทั้ง 2 ฝ่ายจัดแจงตั้งหูก แล้วต่างฝ่ายต่างทอลายผ้าอันงามวิจิตรขึ้น เทพีเอเธน่าเลือกเอาภาพตอนเจ้าแม่แข่งขันกับเทพโปเซดอน ส่วนนางอาแรคนีเลือกเอาภาพซูส ลักพานางยูโรปาเป็นลาย ครั้นทอเสร็จ ต่างฝ่ายต่างเอาลายผ้ามาเทียบเคียงกัน สาวเจ้าอาแรคนีรู้สึกทันทีว่าของนางแพ้หลุดลุ่ย ลายรูปโคโลดแล่นลุยไปในทะเล มีคลื่นซัดสาดออกเป็นฟองฝอยกับนางยูโรปาเกาะเขาอยู่ดูอาการกึ่งยิ้มกึ่งตกใจประกอบด้วยเกศาและผ้าสไบปลิวสยายด้วยแรงลม ไม่สามารถจะเทียบกับลายรูปชมรมทวยเทพพร้อมด้วยรูปม้าและต้นมะกอกเนรมิต ซึ่งดูประหนึ่งมีชีวิตกระดุกกระดิกได้นั้นเลย อาแรคนีแน่งน้อยเสียใจนัก ทั้งเจ็บทั้งอายในความผิดพลาดของตนไม่อาจทนอยู่ได้ เอาเชือกผูกคอหมายจะแขวนตัวตาย เจ้าแม่เอเธน่าเห็นนางจะด่วนหนีโทษทัณฑ์ไปดังนั้น จึงรีบแปรเปลี่ยนร่างของนางให้กลายเป็นแมงมุมห้อยโหนโตงเตง กับสาปนางให้ต้องปั่นและทอใยเรื่อยไปไม่มีเวลาหยุด เป็นการเตือนมนุษย์ผู้ทรนงทั้งปวงมิให้หลงไปว่าตนอาจจะเทียมเทพไดเป็นอันขาด

ตามปกติเทพีเอเธน่าประทับอยู่เคียงข้างซูสเทพบิดามิได้ขาด ด้วยซูสมักจะโปรดหารือฟังความเห็น คำแนะนำอันแยบคายของเจ้าแม่เนืองๆ ยามมีศึกสงครามเกิดขึ้นในโลกเจ้าแม่ขอประทานยืมโล่อันพึงสยบสยอนของเทพบิดาสพายลงมาสนับสนุนฝ่ายที่มีเหตุผลอันชอบธรรมในการสงครามเป็นนิตย์ ดังเช่น สงครามกรุงทรอยอันลือลั่นนั้น เอเธน่าก็เข้าร่วมด้วยโดยยืนอยู่ข้างฝ่ายกรีก ในขณะที่เทพองค์อื่นๆ เช่น เทพีอโฟร์ไดท์กับเทพเอเรสเข้าข้างฝ่ายทรอย เรื่องราวความสามารถในการสงครามของ เทพีเอเธน่าจึงทำให้เจ้าแม่กลายเป็นเทพีอุปถัมภ์ของบรรดานักรบ อีกอย่างหนึ่งด้วย วีรบุรุษคนสำคัญๆ จะไม่เกิดขึ้นหากขาดความช่วยเหลือของเจ้าแม่ เอเธน่าเคยช่วยเฮอร์คิวลิสในการทำงาน 12 อย่างตามคำสั่งของเทพีฮีร่า เคยช่วยเพอร์เซอุสสังหารนางการ์กอนเมดูซ่า ช่วยโอดีสซีอุส (หรือยูลิซิส) ให้เดินทางกลับบ้านจากยุทธภูมิทรอยอย่างปลอดภัย กับทั้งยังช่วยเหลือเตเลมาคัส บุตรชายของโอดีสซีอุสให้ตามหาพ่อจนสำเร็จ

ชาวกรีกนับถือเจ้าแม่อย่างแพร่หลายอยู่มาก ถึงกับสร้างวิหารและที่บูชาอุทิศถวายเจ้าแม่ไว้ เป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน ที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ วิหารพาร์ธีนอน ณ กรุงเอเธนส์ ซึ่งเดี๋ยวนี้เหลือแต่ซาก แต่ก็ยังมีเค้าของฝีมือก่อสร้างอย่างวิจิตรพิสดารปรากฏอยู่ให้เห็น

นอกจากชื่อเอเธน่าหรือมิเนอร์วาแล้ว ชาวกรีกและโรมันยังรู้จักเจ้าแม่ในชื่ออื่นๆ อีกหลายชื่อ ในจำนวนนี้มีชื่อที่แพร่หลายกว่าเพื่อนได้แก่ พัลลัส (Pallas) จนบางทีเขาเรียกควบกับชื่อเดิมว่า พัลลัสเอเธน่า ก็มี ว่ากันว่ามูลเหตุของชื่อนี้สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมตอนเจ้าแม่ปราบยักษ์ชื่อ พัลลัส ซึ่งไม่ปรากฏตำนานชัดแจ้ง อาศัยเหตุที่เจ้าแม่ถลกหนังยักษ์มาคลุมองค์ คนทั้งหลายเลยพลอยเรียกเจ้าแม่ในชื่อของยักษ์นั้นด้วย และเรียกรูปประติมา หรืออนุสาวรีย์อันเป็นเครื่องหมายถึงเจ้าแม่ว่า พัลเลเดียม (Palladium) ในที่สุดคำว่า Palladium ก็มีที่ใช้ในภาษาอังกฤษถึงภาวะหรือปัจจัยที่อำนวยความคุ้มครองหรือความปลอดภัยให้เกิดแก่ชุมชน ทำนอง Palladium ที่ชาวโรมันอารักขาไว้ในวิหารเวสตาฉะนั้น

เกี่ยวกับการครองความบริสุทธิ์ของเจ้าแม่ มีเรื่องเล่าว่า เทพฮีฟีสทัสหมายปองเจ้าแม่ใคร่จะได้วิวาห์ด้วย ได้ทูลขอต่อเทพบิดา เทพบิดาประทานโปรดอนุญาต แต่ให้ฮีฟีทัสทาบทามความสมัครใจของเจ้าแม่เอาเอง เทพฮีฟีทัสไปทำรุ่มร่ามเข้าอย่างไรไม่ปรากฏ เจ้าแม่ไม่เออออด้วย ในที่สุดฮีฟีสทัสก็เดินแบบเจ้าชู้ยักษ์ หมายจะรวบรัด ในระหว่างการฉุกละหุกอุตลุดนั้นของไม่บริสุทธิ์ของฮีฟีทัสตกลงมายังพื้นโลก เป็นเหตุให้เกิดทารกผุดขึ้นมาเป็นเพศชาย เจ้าแม่รอดพ้นมลทินแปดเปื้อน แต่รับทารกไว้ในปกครอง เอาทารกบรรจุหีบให้งูเฝ้า และฝากไว้ให้ลูกสาวท้าวซีครอปส์ดูแล โดยห้ามเด็ดขาดมิให้เปิดหีบดู แต่ลูกสาวท้าวซีครอปส์ไม่เชื่อฟัง พยายามจะเปิดหีบ ครั้นเห็นงูเข้าก็ตกใจวิ่งหนีตกเขาตาย ทารกนั้นได้ขนาน ชื่อว่า อิริคโธเนียส (Erichthonius) และดำรงชีวิตอยู่สืบมาจนภายหลัง ได้ครองกรุงเอเธนส์ ส่วนเจ้าแม่เอเธน่าก็ไม่ได้รับการเกี้ยวพานของเทพองค์หนึ่งองค์ใดอีกต่อไปตั้งแต่บัดนั้น แม้ว่าจะมีบางตำนานกล่าวว่าเอเธน่าเคยแอบรักบุรุษรูปงามคนหนึ่งชื่อว่า เบลเลอโรฟอน จนถึงกับเอาอานม้าทองคำมาให้เขาในความฝัน เนื่องจากเบลเลอโรฟอนต้องการขี่ม้าวิเศษ เปกาซัส แต่ไม่ปรากฏว่าเจ้าแม่ได้สานเรื่องราวระหว่างเจ้าแม่กับเบลเลอโรฟอนต่อไปแต่อย่างใด แต่ทว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นเสียอีกที่เกิดตกม้าตายในตอนหลัง  เทพีเอเธน่ามีต้นโอลีฟเป็นพฤกษาประจำตัว และนกฮูกเป็นนกคู่ใจ