วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชูปาคาบรา(Chupacabra )

มีนาคม 1995 ชาวบ้านที่ตำบลโอโรโดบิส และโมโรบิส แถบภูเชาตอนในของเกาะปอร์โตริโกต้องเผชิญกับสิ่งน่ากลัวที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาพบว่าแพะแกะของพวกตนนอนตายระเกะระกะเหมือนดั่งว่ามีใครทำร้ายพวกมัน ทีแรกก็ไม่ได้สนใจ คิดกันว่ามันอาจจะเป็นหมาป่าหรือหมาจิ้งจอก แต่พอสำรวจเจอเข้ากับรอยเจาะ 2 รูที่เปื้อนไปด้วยรอยเลือดเกรอะกรังขนาดเท่ากับหลอดกาแฟบนตัวสัตว์ทุกตัวที่นอนตาย ที่สำคัญที่สัตว์ที่ตายเหล่านี้สภาพศพตัวซีดเผือดและมีกลิ่นกำมะถันติดอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีรอยเลือดอยู่ที่พื้นดินสักหยด แสดงว่าทุกตัวต้องถูกดูดเลือดจนหมดออกร่างไปจนหมด





ต่อมาเริ่มพบซากของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแพะ สุนัข ตายในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น

ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมใจผู้คน ต่างร่ำลือกันต่างๆ นานา ว่าเป็นปีศาจบ้าง แวมไพร์บ้าง แต่ไม่มีใครอธิบายเหตุการณ์นี้ว่ามันเป็นอะไรหรือมันเกิดขึ้นเพราะอะไรจนกระทั้งอีกหกเดือนต่อมา...



มีชาวบ้านคนหนึ่งเห็นตัวมันในกลางดึกคืนหนึ่ง เขาเล่าว่ามันกำลังเกาะอยู่บนตัวแพะในความมืดและส่วนที่เค้าคาดว่าเป็นส่วนหัวของมันติดอยู่กับลำคอแพะของเขา ด้วยความตกใจเค้าจึงส่งเสียงดังเพื่อไล่มันไป มันหันมามองเค้าแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความมืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้นไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย...... "มันค่อนข้างมืด แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดของมันเท่าไหร่ แต่ว่าเห็นเพียงใบหน้าและดวงตากลมโตเท่าไข่ไก่ที่เป็นสีแดง กับเขี้ยวทั้งสองอันที่มุมปาก"





ในเดือนกันยายนปี 1995 มาเดลีน โตเลนติโน(Miasel Negron) แม่บ้านที่อาศัยอยู่ในคาโนบานาส ทางตะวันออกของกรุงซานฮวน เมืองหลวงของเกาะและคนอื่นหลายคนได้โอกาสเห็นตัวต้นเหตุมันกำลังดูดเลือดแพะพอดี........เธอกับชาวบ้านคนอื่นก็ไล่มันไป มันหันมามองเธอแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความมืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้นไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย เธอให้การกับตำรวจว่า "มันสูงประมาณ 3 - 4 ฟุต มีหนังคล้าย ไดโนเสาร์ ดวงตาสีแดงโตของมันฉายประกายจ้าในความมืด เขี้ยวยาวและงอโค้งไปด้านหลัง กำลังทำร้ายพวกแพะอยู่







จากนั้นคำว่า ชูปราคาบรา El Chupacabra จึงปรากฏขึ้นมา พวกเขาเรียกชื่อมันแบบตรงๆ โดยเป็นคำในภาษาสเปนแปลว่า ตัวดูดเลือดแพะ ("Goat Sucker")....แต่มิได้หมายความว่าเหยื่อของมันจะเป็นแพะเท่านั้น สัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ไม่ว่า เป็ด ไก่ ห่าน หมา แมว กระต่าย หรือวัวก็ยังโดนมันดูดเลือดด้วย ซึ่งยิ่งทำให้ชื่อของชูปราคาบราเป็นที่หวาดกลัวสำหรับเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์หรือชาวบ้านแถบเปอร์โตริโกในบัดดล..





ดือนพฤศจิกายน 1995 จอร์จ มาร์ติน นักจานผีวิทยาชื่อดังของเกาะได้เผยแพร่ข่าวนี้ให้ชาวโลกได้รับทราบทางอินเตอร์เน็ต ชูปาคาบราก็เลยดังไปทั่วโลก คราวนี้ใครต่อใครก็ให้ข่าวเรื่องชูปาคาบรากันยกใหญ่




Luis Guadalupe หนึ่งในผู้ที่พบกล่าวว่า "มันน่าเกลียดมาก และดูเหมือนว่ามันจะบินได้ด้วยซ้ำ และลิ้นมันยาวยังกับลิ้นงู"



Angel Pulido หนึ่งในผู้พบเห็นกล่าวว่า "มันเหมือนค้างคาวตัวใหญ่ที่ดูเหมือนแม่มด"



พวกนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้สอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ Jose Soto นายกเทศมนตรีของเมือง เริ่มส่งคณะไปค้นหา มีผู้ร่วมถึง 200 คนตระเวนหาตามไร่ต่างๆ ในตอนกลางคืน เนื่องจากคาดว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้อาจจะหลับในตอนกลางวันแต่ออกหากินเวลากลางคืน แต่ก็เหลว เพราะหุบเขาในเปอโตริโกนั้นซับซ้อนและมีความยาวมาก





ข่าวคราวเรื่องชูปาคาบราออกเล่นวานเหยื่อยังคงมีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั้งต้นปี 1996 จึงเริ่มค่อยๆ ชาลงไป อาจเป็นเพราะปีนี้อากาศหนาวผิดปกติ หลายคนจึงคิดว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้อาจจะจำศิสหนีหนาวอยู่ในถ้ำที่ไหนสักแห่งบนเทือกเขาเอลยุงเกนั้นก็ได้



สงบได้ไม่กี่วัน ชูปาคาบราก็กลับมาอาละวาดอีก ต้นเดือนมีนาคม 1996 เมื่อฮารูตูโร โรดริเกว ชาวนาในหมู่บ้าน แจ้งว่าไก่ชนที่เขาเลี้ยงไว้ ทั้งตัวผู้แลตัวเมียร่วม 30 ตัว ถูกชูปาคาบราฆ่า ตามตัวและคอหอยของซากไก่มีบาดแผลเป็นรูเล็กๆ และไม่มีรอยเลือดที่เกิดเหตุ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบดูก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นชูปาคาบรา เพียงแต่บอกว่ามันอาจเกิดจากหมาป่าหรือค้างคาวกัดก็เป็นได้







วันที่ 9 มีนาคม เด็กชายโอรีโอ เมนเดซ กำลังสาละวนขุดหลุมเพื่อฝังไก่เขาที่ตายอยู่สนามหลังบ้านนั้น พลันเหลือบไปเห็นตัวอะไรบางอย่างที่รูปร่างแปลกประหลาด สูงราวสี่ฟุต เดินสองขา นัยน์ตาแดง มีเขี้ยวใหญ่ มือมีอุ้งเล็บ ตัวสีเทา เด็กคนนั้นเล่าให้ตำรวจฟังว่า “เจ้าสัตว์หูแหลมตัวนั้นยื่นนิ่งพอสมควรเลยครับ แต่มันไม่ทำร้ายผม และมันก็วิ่งหายไป”





ความตายของสัตว์เลี้ยงยังดำเนินต่อไปจนถึงแถบบาร์ริโอ ซูมีเดโร โดยเฉพาะตำบลลา เวกาคาปิญา และ ลา อาราญา พวกสัตว์เลี้ยงหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ไก่ ห่าน แพะ แกะ หรือแม้แต่วัวก็ล้มตายโดยถูกดูดเลือดจนหมดทุกตัว มีอยู่ที่หนึ่งประตูสังกะสีขนาด 4.8x4.2 ถูกกระชากจนหลุดจากบานพับแสดงว่าเจ้าสัตว์จะต้องมีกำลังมหาศาล





ฮูลิโอ โลเปซ ยืนยันว่าชูปาคาบรามีพละกำลังมหาศาล “รูปร่างของกรงกระต่ายของลูกสาวผมออกจากเหลือเชื่อ ท่อเหล็กและลวดตาข่ายถูกฉีกขาด มันเอากระต่ายไปฆ่า และควักหัวใจไส้พุงออกมา พวกหมา ลิงทโมน หรืองู ไม่มีทำเรื่องแบบนี้หรอกครับ”



เรื่องของชูปาคาบราเรื่องแพร่กระจาย และมีข่าวลื่อมากมายเกี่ยวกับตัวมัน บางคนคิดว่าชูปาคาบราเป็นผีดูดเลือดด้วยซ้ำ จะต้องใช้กระสุนเงินฆ่ามันเท่านั้น บางก็ว่าต้องใช้แสงเลเซอร์ฆ่า









เหตุชูปาคาบราอาละวาดฆ่าสัตว์เลี้ยงไม่ได้มีแต่เฉพาะปอร์โตริโกเท่านั้น มันยังลามไปถึงอเมริกา และเม็กซิโกด้านมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1996 มีรายงานการตายของสัตว์เลี้ยงจำนวนมาก ที่รัฐซิโนโลอา ฮาลิสโค และเวราครูซ โดยเฉพาะรัฐเวราครูซได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเพราะรัฐนี้เป็นรัฐที่เลี้ยงแพะมากที่สุด โดยมีรายงานสัตว์เลี้ยงถูกดูดเลือดจนตายที่เมืองตลาลิสโคยัน ลาส ตรานคาส และนาซีคาส





เหตุการณ์ในเม็กซิโกเริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อมีรายงานว่ามีคนถูกซุปาคาบราทำร้าย ส่วนใหญ่ผู้ถูกทำร้ายจะปรากฏบาดแผลเป็นรูเล็กๆ สองรูตามร่างกาย หรือรอยเล็บ และมีรายงานชูปาคาบราโดนคนยิงแต่ไม่สามารถทำอันตรายแก่ตัวมันได้แล้วมันก็หนีไปในความมืด













ในปานามา (Panama) ก็มีรายงานลักษณะเดียวกันนี้เช่นกันและคราวนี้หญิงสาวคนหนึ่ง Elizabeth Saaverdra ก็โดนทำร้ายจากเจ้าสิ่งนี้เช่นกัน บางครั้งก็พบว่าอวัยวะของซากสัตว์นั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีรอยฉีกขาด เหมือนตัดเอาไปด้วยแสงเลเซอร์ ไม่เท่าเฉพาะแต่เพียงเท่านี้ ในบราซิล (Brazil) ก็มีการบันทึกของชูปาคาบราอีกเหมือนกันโดยคราวนี้ไม่ใช่รายงานสัตว์ที่โดยทำร้ายแต่เป็นรายงานการตายของเจ้า ชูปาคาบรานี้ โดยถูกนักตกปลายิงได้ที่ทะเลสาบ และหนึ่งในนั้นได้ตัดส่วนหัวของมันเก็บไว้และได้นำมาออกในรายการทีวีในเวลาต่อมา แต่ก็มีข่าวว่ามีคนจับตัว ชูปาคาบราเป็นๆ ไว้ได้แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ทางโทรทัศน์ เพียงแต่ยอมให้นักสำรวจของอเมริกาตรวจดูได้







มันคืออะไร?



จากคำบอกเล่าของพยานผู้รู้เห็น จากซากสัตว์ที่โดยทำร้าย และจากซากของชูปาคาบรา พบว่าชูปราคาบรานั้นมีรูปร่างหลายแบบ แตกต่างกัน บ้างก็เหมือนมนุษย์ต่างดาว เหมือนหนูตัวใหญ่ บ้างก็เหมือนลิง บางตัวก็มีปีก บางตัวมีกลิ่นเหม็นคล้ายกำมะถัน บางก็มีเสียงเห่าหอน...ทำให้ผู้ออกความเห็นมากมาย บ้างก็ว่า....





เป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่



มีเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ ที่ป่าเอลยุงเกเมื่อหลายปีมาแล้ว รัฐบาลสหรัฐเคยมาสร้างสถานีวิจัยทางทหารลับๆ ไว้แห่งหนึ่ง ครั้งเมื่อปี 1989 เกิดพายุเฮอร์ริเคนพัดกระหน่ำ เป็นไปได้ที่อาจมีสัตว์อะไรสักอย่างหลุดหนีออกมา เป็นต้นว่า ลิงกลายพันธุ์ที่ทดลองทางพันธุ์วิศวกรรม แต่เพราะพายุทำให้มันหนีและไปเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ในป่า







สัตว์ร้ายในท้องถิ่น





ใช่ว่าทุกคนจะลงความเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของตนตายเพราะชูปาคาบรา หญิงสาวคนหนึ่งให้การว่ากระต่ายเธอถูกหมากัดต่างหากละ หรือไม่ก็มีลิงทโมนหลุดจากที่ไหนสักแห่ง บางที่เพราะสื่อมวลชนสร้างข่าวให้ใหญ่โตเกินเหตุมากกว่า



นักสัตว์วิทยาบางคนลงความเห็นว่ามันอาจเป็นฝีมือของหมาป่าไกโยต์ที่อพยพหนีจากพื้นที่แห้งแล้งทางตอนเหนือของประเทศ หรือไม่ก็ค้างคาวดูดเลือดชนิดใหม่ที่อพยพจากทางเหนือ







ไดโนเสาร์หรือสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์





ความจริงเรื่องของชูปาคาบราไม่ใช้เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะมันปรากฏในหนังสือโบราณเกี่ยวกับไสยเวทย์เล่าว่า มันออกมาอาละวาดเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 หรือ 12 ภาพเขียนหนังสือเล่มนั้นเหมือนตัวกากอยส์มาก



อย่าลืมสิว่าหุบเขาในเปอโตริโกนั้นซับซ้อนและมีความยาวมาก จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ว่าน่ะมีสัตว์ประหลาดแปลกๆ ซ่อนตัวอยู่ไม่ให้ใครเห็นก็ได้ บางที่อาจมีอุโมงค์ลับอยู่ใต้ทะเลที่เชื่อมเกาะเปอร์ริโกกับเทือกเขาปีเรนิสของสเปน และผืนแผ่นดินอเมริกาใต้ ทำให้ชูปาคาบราออกมาเดินเล่นดูดเลือดสัตว์ได้สะดวก



มันอาจเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เหลือรอดจากยุคดึกดำบรรพ์ก็เป็นได้





(ภาพที่ Robert Clarkson ถ่ายได้เมื่อปี 2004 )


เอเลี่ยน สิ่งที่มากับจานบินต่างดาว





มีผู้พบเห็นฝูง ชูปราคับบรา ในป่าหลังบ้าน ในการสำรวจป่า มีการพบร่องรอยบนหญ้า ชาวพื้นเมืองยังบอกอีกว่า ซูปราคับบรา กำลังมุ่งหน้าไปหาแสงไฟประหลาด





เดือนตุลาคม พ.ศ. 2539 ใน แคมโปริโก จอร์จ มาร์ติน ได้พบตัวอย่างเลือดที่รั่ว ซึ่งชูปราคับบรา ได้ไต่ออกมาก่อนที่จะหนีไป อีกรายงานหนึ่งแจ้งว่า ก่อนเหตุการณ์นี้ตำรวจท้องที่ยิงมันได้ตัวหนึ่ง ทำให้ได้ตัวเลือดที่หยดไปเป็นสาย ผลการตรวจเลือดแสดงให้เห็นว่าลักษณะเลือดของมันคล้ายเลือดมนุษย์ แต่การวิเคราะห์พันธุกรรมแสดงว่าเลือดของมันเข้ากับเลือดมนุษย์ไม่ได้ และไม่มีทางที่จะไปกันได้ด้วย



ซูปราคับบราอาจนี้เป็นเศษเดนของเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว ที่ได้ทิ้งไว้ในโลกใบนี้ก่อนที่จานบินระเบิด โดยที่เปอร์โตริโก้ มีคนหลายร้อยคนเห็น UFO มาหลายปี และอยู่ไม่ไกลจากรัฐฟลอริดา ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดสนใจของ UFO







มาถึงตอนนี้ ชูปาคาบราได้กลายเป็นเรื่องท็อปฮิตในหมู่ชาวอเมริกันที่พูดภาษาสเปนไปแล้ว ภัตตราคารหลายแห่งทางตอนใต้ของอเมริกาได้ใช้ชื่อชูปาคาบรามาตั้งชื่ออาหาร คณะดนตรีใช้ชื่อวงว่า “ลอส ชูปาคาบรา” ขบวนพาเหรดในวันเปอร์โตริโกที่นิวยอร์คก็แต่งชุด ชูปาคาบรา และเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายรูปชูปาคราบรากำลังดูดเลือดเหยื่อก็กำลังระบาดในสหรัฐและเม็กซิโก





แต่พวกสัตว์วิทยากลับไม่ชอบเรื่องของชูปาคาบรานัก แถมกล่าวโทษพวกสื่อมวลชนอีกว่านี้แหละเจ้าตัวดี ที่โหมกระพือข่าวเสียจนชูปาคาบราเป็นสัตว์ในตำนานไปซะแล้ว




















ที่มา : http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7388054/X7388054.html

____________________

เครดิต : Mr.Terran

________________________________

"พลังออร่า" เพื่อสุขภาพบำบัด

แม้ว่าเราจะใช้กรรมวิธีในการดูออร่าที่มีความทันสมัยอย่างมาก แต่กระนั้น ทั้งสมรรถนะและประสิทธิภาพก็ยังจำกัดอยู่นั่นเอง เพราะเราจะได้เห็นแต่เพียงเฉพาะส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่านั้น ซึ่งตามหลักจิตวิทยาแล้วเราต้องการที่จะเห็นออร่าที่เป็นตัวตนทั้งหมดของเรา มากกว่าจะเป็นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์ตัวเองได้อย่างแน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ความสนใจทั้งมวล ทัศนคติ สิ่งที่เป็นความชอบพิเศษของเรา รวมไปถึงความอคติทั้งหลาย เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการสัมผัสรู้ของเราทั้งสิ้น



ออกจะโชคดีอยู่บ้างที่เราสามารถสร้างระยะความห่างนั้นขึ้นได้ด้วยการยื่นมือออกไปข้างหน้า ซึ่งอย่างน้อยก็ยังทำให้เรามองเห็นออร่าแม้จะค่อนข้างจำกัดก็ตาม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่ประการใดที่กรรมวิธีดูออร่าจากมือจึงเกิดขึ้น และถือได้ว่าเป็นกรรมวิธีในการดูออร่าของตนเองที่ค่อนข้างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปลักษณะของออร่าที่อยู่รอบมือของเราก็จะมีสีสัน และขนาดของการกระจายรัศมีได้ใกล้เคียงกับออร่าของตัวเองโดยรวมอยู่แล้ว









กรรมวิธีการดูออร่าที่มือ ( The Aura Hand – viewing Procedure )




กรรมวิธีการดูออร่าที่มือได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราสามารถมองเห็นออร่าที่อยู่รอบมือและท่อนแขนด้านล่างของเราได้ กรรมวิธีนี้ก็เช่นเดียวกันกับกรรมวิธีในการดูออร่าอื่น ๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้แสงธรรมชาติหรือการให้แสงในทางอ้อม และจะต้องมีฉากหรือผนังสีขาวที่ไม่สะท้อนแสง ซึ่งกรรมวิธีมีดังต่อไปนี้
  • สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย วิธีสร้างความผ่อนคลายก็คือให้คุณสูดลมหายใจลึก ๆ 2 – 3 ครั้ง และค่อย ๆ ระบายออกมาช้า ๆ ขจัดความคิดต่าง ๆ ที่อยู่ในสมองออกให้หมด

  • กางนิ้ว ให้คุณยื่นมือออกไปสุดแขน กางนิ้วมือออกจากกัน โดยให้ห่างจากผนังหรือฉากสีขาวเล็กน้อย

  • สร้างจินตนาการ ให้คุณสร้างจินตนาการขึ้นว่า มีจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งลอยอยู่ตรงช่องว่างระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ของคุณ

  • เพ่งสายตา ให้คุณเพ่งสายตาอยู่ตรงจุดในจินตนาการนั้น จนออร่าปรากฏขึ้น ซึ่งปกติแล้วจะใช้เวลาไม่กี่วินาที ตอนแรกมันจะเกิดขึ้นรอบนิ้วหัวแม่มือและรอบปลายนิ้วชี้จากนั้นก็จะปรากฏขึ้นรอบฝ่ามือ รวมทั้งท่อนแขนส่วนล่างด้วย

  • การดูออร่า เมื่อคุณสามารถมองเห็นออร่าได้ชัดเจนแล้วให้คุณเลื่อนสายตาไปเพ่งตรงนั้น เพื่อที่จะสังเกตลักษณะต่าง ๆ ของมัน

หมายเหตุ ถ้าคุณรู้สึกเมื่อยตาขณะกำลังฝึกอยู่นั้น คุณสามารถพักได้ครู่สั้น ๆ แล้วจึงเริ่มต้นตามกระบวนการนี้ใหม่

( ขอแนะนำให้ใช้แสงสว่างธรรมชาติ และทำใจสบาย ๆ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องตั้งใจว่าจะทำให้ได้ ทำใจเบา ๆ เหมือนวันว่าง ๆ เพลิน ๆ เคลิ้ม ๆ ครั้งแรกผมก็ทำไม่ได้ จนผ่านมาหลายเดือนกลับมาลองใหม่อย่างที่แนะนำ ก็สามารถเห็นได้ : Amine )


กรรมวิธีนับนิ้วมือ ( The Fing – Count Procedure )

ความหลากหลายของการดูออร่าจากมือนั้น ก็คือ กรรมวิธีที่เรียกว่าการนับนิ้วมือ ซึ่งกรรมวิธีดังกล่าวนี้คือให้คุณนับนิ้วมือที่ยื่นออกไปยังผนัง หรือฉากสีขาวสุดแขน วิธีการมีดังนี้






  • การนับนิ้วมือ เมื่อคุณยื่นมือออกไปพร้อมกับกางนิ้วให้ห่างออกจากกันแล้ว ให้คุณเริ่มนับนิ้วมือทีละนิ้ว .. ทีละนิ้วช้า ๆ โดยเริ่มจากนิ้วหัวแม่มือก่อน ขณะนับให้จับตามองตรงส่วนปลายของแต่ละนิ้วด้วย

  • นับนิ้วถอยหลัง ในท่าที่มือของคุณยังเหยียด นิ้วยังแยกห่างจากกันอยู่นั้น ให้คุณนับนิ้วมือถอยหลังช้า ๆ จาก 5 ไปจนถึง 1 โดยเริ่มต้นจากนิ้วก้อยและไปจบที่นิ้วหัวแม่มือ และก็เช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 1 ให้คุณจับตามองตรงปลายนิ้วในขณะที่นับไปด้วย

  • เพ่งสายตาที่นิ้ว ให้คุณเพ่งสายตาอยู่ที่นิ้วกลางสักครู่สั้น ๆ จากนั้นให้คุณเบิกตากว้างเพื่อรับภาพที่อยู่ใกล้ให้มากที่สุดรวมทั้งมือที่กางอยู่นั้นด้วย ซึ่งเกือบจะในทันใดนั้น ที่คุณจะมองเห็นแสงเรือง ๆ สีขาวปรากฏขึ้นรอบมือ ตามมาด้วยออร่าที่หลากสีสัน

  • การดูออร่า ขณะนี้คุณได้เห็นออร่าแล้ว คุณสามารถเลื่อนสายตามามองมันได้โดยตรงพร้อมกับสังเกตเกี่ยวกับโครงสร้างและสีของมันไปพร้อมกัน



กรรมวิธีทำมือเป็นสามเหลี่ยม ( The Hand Triangle Procedure ) ประยุกต์ปรับเพื่อดูออร่าด้วยตนเอง


กรรมวิธีทำมือเป็นสามเหลี่ยมนี้ เราได้เคยกล่าวถึงมาก่อนหน้านี้แล้ว และเป็นกรรมวิธีที่เราสามารถปรับเพื่อนำมาใช้กับการดูออร่าของตนเองได้ด้วย เมื่อเราใช้ในการดูออร่าของตนเองนั้น กรรมวิธีดังกล่าวก็จะยังทำหน้าที่ในการดึงออร่าออกมาให้เราได้เห็น ขณะเดียวกันก็ยังกระตุ้นพลังจิตของเราอีกด้วย กรรมวิธีนี้สามารถทำได้ในแสงธรรมชาติหรือแสงอ่อน ๆ ที่จัดขึ้น
  • สร้างรูปสามเหลี่ยม ให้คุณยื่นมือออกไปสุดแขนและให้อยู่ห่างจากฉากหรือผนังสีขาวเล็กน้อย จากนั้นให้คุณสร้างรูปสามเหลี่ยมโดยในตอนแรกให้เอาปลายนิ้วหัวแม่มือชนกันเพื่อสร้างฐานให้กับรูปสามเหลี่ยมนั้น จากนั้นให้เอาปลายนิ้วชี้มาชนกันเพื่อให้เป็นส่วนยอดของสามเหลี่ยม

  • สร้างจินตนาการ ขณะมองภาพสามเหลี่ยมที่มีฉากหลังสีขาวอยู่นั้น ให้คุณสร้างจินตนาการว่าขณะนี้มีจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งลอยอยู่ตรงกึ่งกลางของรูปสามเหลี่ยม และให้คุณเพิ่งสายตาตรงไปยังจุดนั้น

  • เพ่งสายตา ให้คุณเพ่งสายตาอยู่ที่จุดในจินตนาการจนกระทั่งเห็นออร่าปรากฏขึ้น ซึ่งปกติแล้วจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ในตอนแรกมันจะปรากฏขึ้นภายในรูปสามเหลี่ยม จากนั้นก็จะเกิดขึ้นรอบมือและท่อนแขนส่วนล่างของคุณ

  • การดูออร่า เมื่อเห็นออร่าแล้ว ให้สังเกตสี รัศมีที่กระจายออก รวมไปถึงลักษณะต่าง ๆ

  • การกระตุ้นพลังจิต เพื่อเป็นการกระตุ้นพลังจิต ให้คุณเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังศูนย์กลางของพลังงานในรูปสามเหลี่ยมที่สร้างขึ้นจากมือของคุณ และปล่อยจิตให้ว่าง

  • ตอกย้ำพลังจิต ให้คุณสรุปกระบวนการนี้ด้วยการยืนยันในพลังจิตของคุณที่สามารถทำให้มองเห็นออร่าของตัวคุณเองได้ และใช้พลังงานออร่านี้เป็นช่องทางเพื่อสร้างความเจริญเติบโตให้กับจิตต่อไป

กรรมวิธีนี้เป็นหนึ่งในกรรมวิธีที่รู้กันว่าทรงประสิทธิภาพในการกระตุ้นการทำงานของจิตอย่างยิ่ง จากการทดลอง ผู้เข้ารับการทดลองต่างพบว่า เพียงแค่การเพ่งไปยังพลังงานออร่าที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยมตามขั้นตอนที่ 4 (การดูออร่า) พวกเขาสามารถเปิดช่องทางเพื่อส่งและรับกระแสจิตได้อย่างมหัศจรรย์
ขณะเดียวกันพลังจิตที่ทำให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าและมีตาทิพย์ มักจะเกิดขึ้นตรงขั้นตอนที่ 4 นี้ด้วย
กรรมวิธีการเคลื่อนไหวฝ่ามือ ( The Palm – Motion Procedure )

เป็นกรรมวิธีที่ออกแบบมาเพื่อการกระจายพลังที่ฝ่ามือออกมาให้มองเห็นได้ นอกเหนือจากผนังหรือฉากสีขาวกับแสงสว่างเย็นตาแล้ว สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาสำหรับกรรมวิธีนี้ก็คือใช้เวลาในการควบคุมตัวเองเพียงชั่วครู่สั้น ๆ
  • สัมผัสฝ่ามือ ให้คุณเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมาประกบกันหลวม ๆ แล้วถูไปมา โดยในตอนแรกให้ถูเป็นวงกลม จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นถูไปข้างหน้าและข้างหลัง ซึ่งคุณจะสังเกตได้เกือบในทันทีว่ามีความอุ่นของพลังงานเกิดขึ้นที่ฝ่ามือทั้งสองข้างนั้น

  • แยกฝ่ามือ ขณะที่มือทั้งสองของคุณยังประกบกันอยู่นั้น ให้คุณยื่นออกไปให้สุดปลายแขน แล้วค่อย ๆ แยกฝ่ามือออกจากกันช้า ๆ เพื่อให้เกิดช่องว่างแคบ ๆ ขึ้น ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นในทันทีว่ามันมีความรู้สึกซ่า ๆ เกิดขึ้นกับฝ่ามือและปลายนิ้ว

  • สัมผัสพลังงาน ให้คุณเพ่งความสนใจอยู่ตรงช่องว่างระหว่างมือทั้งสอง และสังเกตเห็นว่ามีแสงเรือง ๆ สีขาวเกิดขึ้น ปรับระยะความห่างอีกเล็กน้อย คุณก็จะเห็นว่ามีสีสันเกิดขึ้น

  • ห่อมือ ขณะที่คุณยังยื่นมือสุดปลายแขนอยู่นั้น ให้คุณค่อย ๆ ห่อมือเข้ามาช้า ๆ และหันเข้าหากันเพื่อให้เกิดระยะห่างระหว่างฝ่ามือเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังรักษาช่องว่างแคบ ๆ ระหว่างปลายนิ้วมือไว้

  • ช่องทางพลัง ภายหลังจากที่เพ่งความสนใจอยู่ตรงช่องว่างระหว่างปลายนิ้วครู่สั้น ๆ ให้คุณรวมนิ้วเข้าด้วยกันแล้วค่อย ๆ แยกออกจากกันช้า ๆ ซึ่งในทันทีนั้นคุณจะได้เห็นช่องที่มีพลังงานเรืองแสงเกิดอยู่ระหว่างนิ้วมือของคุณ ให้คุณปรั

  • ระยะระหว่างปลายนิ้วเล็กน้อยจนสังเกตเห็นว่ามีสีปรากฏขึ้น ซึ่งปกติแล้วจะเป็นสีเดียวกันกับที่คุณได้เห็นขณะทำตามขั้นตอนที่ 3 (สัมผัสพลังงาน)

  • การดูออร่า ให้คุณเพ่งสายตาอยู่ที่อุ้งมือทั้งสองที่ยังหันเข้าหากันอยู่ จนเห็นออร่าปรากฏขึ้นโดยรอบ จากนั้นให้คุณพลิกข้อมือหงายขึ้น ให้สังเกตสีของออร่าและลักษณะที่ปรากฏอยู่

ในขั้นการดูออร่านี้คุณจะได้เห็นพลังงานสีต่าง ๆ ที่จะรวมตัวกันอยู่ในมือที่ห่อเป็นอุ้งอยู่ ผู้บำบัดรักษาด้วยพลังจิตจำนวนมากจะปรับกรรมวิธีนี้เพื่อให้เกิดพลังงานนี้ขึ้นมาก่อนหน้าที่จะทำการบำบัดด้วยการกระจายศูนย์กลางพลังงานบวกเข้าไปในร่างของอาสาสมัคร ซึ่งถือว่าเป็นพลังแห่งการบำบัดรักษาโดยส่งผ่านเข้าไปทางฝ่ามือ
( กรรมวิธีนี้คล้ายกับกลวิธีแห่งพลังจักระและพลังจักรวาล เพียงแค่จะเพ่งสีหรือไม่เท่านั้นเอง นอกจากนี้ การแยกมือออกจากกันเพื่อสัมผัสพลังงานที่หมุนวนอยู่นั้นยังสามารถใช้วัดรัศมีของพลังจิต(ออร่า) ของเราได้ด้วยว่ามีขอบเขตเท่าไร : Amine )
กรรมวิธีสัมผัสรู้ด้วยพลังจิตของตนเอง ( The Psychic – Self – Perception Procedure )

กรรมวิธีนี้ตระหนักถึงสมรรถนะในการหยั่งรู้ที่จะทำความรู้จักตัวตนโดยรวมและแต่ละองค์ประกอบ ซึ่งรวมไปถึงออร่าด้วยเป็นอย่างดี กรรมวิธีนี้ได้รับการออกแบบเพื่อที่จะกระตุ้นแหล่งพลังงานภายในที่ต้องการ เพื่อจะกระจายพลังนั้นออกไปสู่ออร่าของเรา ซึ่งในการนี้จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องออร่าของบุคคลและความสัมพันธ์ของมันที่มี มีวิธีสัมผัสดังต่อไปนี้
  • การเตรียมตัว หาสถานที่ซึ่งคุณจะสามารถใช้เวลาในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกรรมวิธีนี้ได้นานประมาณ 30 นาที จากนั้นสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้เกิดขึ้น สำรวจความคิดและความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดอยู่ในจิตใจ

  • ทำจิตให้ว่าง หลับตาลง สูดลมหายใจลึก ๆ 2 – 3 ครั้ง ค่อย ๆ ระบายลมหายใจออกช้า ๆ ขจัดความคิดวุ่นวายในสมองออกให้หมด

  • สำรวจจิต มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังศูนย์กลางแห่งพลังงานที่อยู่ลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก ขณะนี้เมื่อความคิดได้เข้าไปรวมอยู่ภายในแล้ว คุณจะสัมผัสพลังงานที่หลั่งไหลออกมาจากแก่นกลางของออร่า พลังงานนั้นห่อหุ้มกายเนื้อของคุณด้วยรังสีทีสว่างเรือง

  • สำรวจออร่า สร้างจินตนาการถึงออร่าและใช้จิตสำรวจ เริ่มจากรูปแบบของพลังงานที่ปรากฏอยู่เหนือศีรษะแล้วค่อย ๆ เลื่อนการสำรวจต่ำลงมาเรื่อย ๆ สังเกตความรู้สึกที่เกิดควบคู่มากับการสำรวจออร่าในครั้งนี้

  • พิจารณาออร่า ในตอนต้นให้พิจารณาออร่าโดยรวมเสียก่อน จากนั้นจึงสำรวจเฉพาะบริเวณรวมไปถึงลักษณะของมันด้วย ให้ภาพจากจินตนาการเกี่ยวกับออร่านี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อความรู้ที่จะเกิดขึ้นในจิต ควบคู่มากับการพิจารณาในขั้นตอนนี้

  • เก็บข้อมูลภายใน ให้คุณเก็บข้อมูลจากประสบการณ์นี้ด้วยการใช้วิธีถ่ายรูปออร่าทางจิต แล้วเอาเก็บเข้าไว้ในแฟ้มที่มีอยู่ภายใจจิตของคุณ เพื่อประโยชน์สำหรับการใช้อ้างอิงต่อไปในอนาคต จบกระบวนการนี้ด้วยการยืนยันกับตนเองว่า .. ขณะนี้ฉันได้รับการเพิ่มพลังจิตอย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังทางบวกแล้ว

การหยั่งรู้เกี่ยวกับเรื่องของออร่านั้น บางครั้งเราจะได้รับรายงานจากผู้รับการทดลองว่ามันจะเกิดขึ้นขณะที่จิตกำลังอยู่ในสภาวะที่แน่นอน ซึ่งรวมไปถึงสภาวะถอดกายทิพย์และการสะกดจิตด้วย
( กรรมวิธีนี้ถ้าใครเคยสนใจสมาธิ จะพบว่าเป็นแค่สมาธิเบื้องต้น อาศัยผลพลอยจากสมาธิมาใช้นั่นเอง ซึ่งได้ทั้งจาก กรรมฐาน40และสติปัฏฐานควบคู่ไป : Amine )




การแปลความหมายจากสีในออร่า


 ในออร่าของมนุษย์นั้นจะไม่ถึงขาวสะอาดหรือดำมืดไปเสียทั้งหมด แต่จะมีบริเวณของสีขาวหรือสีดำปรากฏอยู่ตรงใดตรงหนึ่งในออร่านั้น สีทั้งสองนี้ปกติแล้วเราจะเห็นเป็นจุดของแสงสว่างหรือไม่ก็ดำมืดกว่าบริเวณอื่น

นอกเหนือจากการให้สี ความเข้ม การแผ่กระจายของรัศมีและความชัดเจนของสีสันแล้ว ในออร่าก็ยังมีขนาดของการแผ่ขยายของรัศมีที่หลากหลายอีกด้วย บางครั้งเราจะมองเห็นสีรุ้งเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของออร่า โดยทั่วไปแล้วความเข้มกับการแผ่ขยายของสี เป็นสิ่งที่ชี้ชัดถึงพลังอันเต็มเปี่ยมที่มีอยู่ในพลังงานของออร่า ยิ่งมีความเข้มกับการแผ่ขนาดออกไปได้ไกลเพียงใด สีก็จะยิ่งมีอิทธิพลและมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

การศึกษาค้นคว้าของเราจะบ่งบอกได้เพียงแค่ 10 สี จึงมีความเป็นไปได้ที่ว่ายังมีสีและการจัดระดับของสีอีกไม่น้อยที่เรายังไม่สามารถนำมารวมไว้ได้อีก


สีรุ้ง

รูปแบบของสีรุ้งนั้นเป็นการรวมตัวกันของสีสันที่หลากหลาย โทนสีจะนุ่มนวล ปรากฏเป็นโค้งรุ้งที่ครอบคลุมอยู่ทั่วร่างหรืออาจจะเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น อาจจะเพียงแค่ส่วนศีรษะกับไหล่ทั้งสองข้าง เป็นต้น ปกติแล้วสีของสายรุ้งจะสว่างสดใสแผ่รัศมีออกไปได้กว้าง ออร่าสีรุ้งบ่งบอกถึงส่วนผสมของบุคลิกภาพส่วนตนในทางบวก อาทิ เป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความรู้อันเกิดจากแรงบันดาลใจ มีคุณธรรม มีเมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี และรู้จักตนเองดี

บุคคลที่มีออร่าสีรุ้งสว่างสดใส มักเป็นผู้ที่มีแนวโน้มว่าเป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดในโลก เมื่ออยู่ในกลุ่ม พวกเขาจะอยู่ในระดับผู้นำและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน รวมไปถึงชีวิตส่วนตัวด้วย

ขณะที่ออร่าสีรุ้งเป็นเครื่องหมายของความสูงส่งที่จะปรากฏในบุคลิกภาพของบุคคล แต่มันก็เป็นสีที่มีความอ่อนไหว พร้อมที่จะเกิดความไม่สมดุลหรือมีสีที่จืดจางลงได้โดยง่าย ถ้ามีสีอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาอย่างกระทันหัน อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง
สีเหลือง

เป็น 1 ในจำนวนสีที่เราจะพบในออร่ามนุษย์ได้มากที่สุด พบมากในบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถสูง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีปัญญา ส่วนความกว้างของรัศมีที่แผ่ขยายออกไปบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์และสามารถพึ่งพาอาศัยได้ ยิ่งออร่าสีเหลืองสว่างสดใสเพียงไร ก็ยิ่งสูงด้วยภูมิปัญญามากเพียงนั้น ยิ่งสีสามารถแผ่ออกไปได้ไกลเพียงไร ยิ่งแสดงว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความก้าวหน้าในสังคมมากเท่านั้น

ในการพิจารณาตำแหน่งออร่าสีเหลือง ถ้าสดใสปรากฏอยู่โดยรอบศีรษะแล้ว แสดงว่าบุคคลนั้นมีความคิดอ่านอันเป็นนามธรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหาและการใช้คำพูด ขณะที่ปรากฏอยู่รอบไหล่และบริเวณทรวงอก แสดงว่ามีความสามารถในการใช้ดวงตาประสานกับการใช้มือได้เป็นอย่างดี และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเครื่องยนต์กลไก

ออร่าสีเหลืองมักแสดงให้เห็นว่าบุคคลผู้นั้นเป็นบุคคลที่พึ่งพาได้ ให้ความเป็นมิตรกับทุกคนและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับบุคคลที่มีความสนใจในการช่วยเหลือสังคม เราจะพบว่าออร่าสีเหลืองแผ่กว้างออกไปยังบริเวณรอบนอกของออร่าด้วย

สีเหลืองที่หม่นหมอง และขอบเขตที่จำกัดของการแผ่รัศมี มักแสดงถึงสภาวะจิตที่มีความตึงเครียด ก่อให้เกิดอิทธิพลทางลบต่อการทำหน้าที่ของสมองและเป็นอุปสรรคต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอีกด้วย[/glow]
สีฟ้า

สีฟ้าอ่อน มักจะสัมพันธ์กับความสมดุล ความเยือกเย็น สุขุม ความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมองโลกในแง่ดี มักพบในออร่าของบุคคลที่รู้จักคุณค่าของตนเอง มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

สีฟ้าเข้ม จะสัมพันธ์อยู่กับไหวพริบ สติปัญญาและการรู้จักควบคุมอารมณ์ มักพบในออร่าของบุคคลที่มีไหวพริบ มีความสามารถสูง ทั้งยังเป็นคนที่มีหลักการในตนเองด้วย

สีฟ้าในออร่ามีการสนองตอบเป็นพิเศษต่อการทำสมาธิและการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายที่กระจายพลังงานสว่างสดใสเข้าไปในระบบออร่า

สีฟ้าหม่นเกิดขึ้นที่ตรงบริเวณใดของออร่าก็ตาม คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการมองโลกในแง่ร้าย ความท้อแท้และความรู้สึกหวาดระแวง ซึมเศร้าอย่างรุนแรงหรือผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย
สีเขียว

บ่งบอกถึงพลังงานแห่งการบำบัดรักษา ความพยายามที่จะรู้จักตัวตนแท้จริงของตนเองและการยกระดับจิต โดยทั่วไปนั้น ออร่าของผู้ที่ประกอบอาชีพในการให้การบำบัดรักษา อาทิ แพทย์ พยาบาล และรวมไปถึงนักสังคมสงเคราะห์ทั้งหลายนั้น มักจะมีออร่าเขียวสดใส

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ นักพลังจิตบำบัดนั้นมักจะมีออร่าสีรุ้ง ซึ่งไม่ใคร่พบในออร่าของบุคคลที่มีอาชีพในการบำบัดแบบอื่นเท่าไรนัก

ออร่าสีรุ้งที่มีสีเขียวเด่งกว่าสีอื่น มักจะมีความเกี่ยวเนื่องกับมิติลี้ลับในระดับจิตสำนึกอีก จึงพบว่าจะพบออร่าดังกล่าวนี้เกิดอยู่ในออร่าของนักมายากลอีกด้วย

จากการศึกษาออร่าของนักศึกษาแพทย์ พบว่าออร่าของพวกเขามีสีเขียวเด่นกว่าสีอื่น ๆ ที่ปรากฏร่วมอยู่ด้วย ในขณะที่ออร่าของนักศึกษาพยาบาลพบว่า ไม่เพียงแต่ออร่าจะมีสีเขียวสดใส แต่ยังมีคลื่นความถี่สูงกว่าสีอื่น ๆ มาก

สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น ออร่าเขาจะมีบริเวณที่เป็นสีเขียวที่แผ่รัศมีออกไปกว้างมาก โดยที่สีเขียวสดมักจะปรากฏเป็นลำแสงพลังงานที่ห่อหุ้มร่างกายไว้

สีเขียวที่หม่นหมอง เป็นสัญลักษณ์ของความอิจฉาริษยา ชอบใช้พฤติกรรมของตนเป็นมาตรฐานและมักจะกล่าวโทษผู้อื่นในความล้มเหลวของตนเอง

สีเขียวหม่นที่ค่อนไปทางสีเทานั้น มักเป็นลางบอกเหตุว่าจะพบเรื่องร้าย ๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวหรือเคราะห์ร้าย รวมไปถึงอาการเจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรง
สีชมพู

เป็นสีแห่งวัยเยาว์ ความสุขสดชื่น อุดมคติ แม้จะปรากฏอยู่ท่ามกลางสีอื่น ๆ ที่หม่นมัวหรือจืดชืด แต่สีชมพูมักจะสว่างสดใสอย่างเห็นได้ชัดเสมอ เป็นสีแห่งความหวังและมีแนวโน้มไปในทางมั่นคง

เนื่องจากสีชมพูจะพบในคลื่นความถี่สูงในออร่าที่บ่งบอกถึงความมีอายุยืน จึงมักสัมพันธ์กับความเป็นผู้มีอายุยืนยาวด้วย

มักพบสีชมพูจำนวนมากในคนที่พร้อมจะอุทิศเวลาและทรัพย์สินในกรณีที่พวกเขาพิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่มีค่าควรกระทำ เป็นบุคคลที่ปกติจะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแต่พอประมาณ ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งความสนใจไปในเรื่องการอนุรักษ์งานศิลปะและงานด้านประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มากกว่า
สีน้ำตาล

สัมพันธ์อย่างมากในเรื่องที่เกี่ยวกับโลกและวัตถุแร่ธาตุทางธรรมชาติ บ่งบอกอุปนิสัยว่าเป็นนักปฏิบัติ มั่นคงในจิตใจและรักอิสระ นักธรณีวิทยา นักนิเวศวิทยา นักโบราณคดี นักพัฒนาที่ดิน และผู้ที่ทำงานด้านการก่อสร้าง ส่วนใหญ่แล้วจะมีสีน้ำตาลโดดเด่น

ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่สนใจในกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง เช่น เดินทางไกล , ล่าสัตว์ ฯ มักไม่ใคร่พอใจในกิจวัตรที่จะต้องปฏิบัติเป็นประจำ รวมไปถึงชีวิตในชานเมือง บุคคลเหล่านี้จะใส่ใจเรื่องสุขภาพ การออกกำลังในโรงยิมหรอืกีฬาที่ใช้แร็กเกต เป็นกิจกรรมที่พวกเขาจะปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอภายหลังจากเสร็จงานประจำที่ทำอยู่ เมื่อถึงสุดสัปดาห์มักจะไปหาความสำราญตามชายหาดหรือภูเขา แม้จะมีสังคมที่ดี แต่ก็มีโลกส่วนตัวสูงมาก

เป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในตนเอง มีความเชื่อในแรงบันดาลใจสูงมาก มีลักษณะชี้ขาดในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
สีม่วง

เป็นสีที่มีอยู่น้อยมากในออร่า สัมพันธ์กับปรัชญา มักเป็นผู้มีแนวคิดในทางสร้างสรรค์และมีความเป็นศิลปินอย่างเห็นได้ชัด มักมองในมุมกว้างมากกว่าจะสนใจในข้อเท็จจริงเฉพาะหรือเอาสถิติเข้ามาอ้าง เนื่องจากไม่เชื่อถือในตัวเลขสถิติอยู่แล้ว

บุคคลเหล่านี้มักมีสติปัญญาเหนือระดับอัตราเฉลี่ย มักเรียกร้องความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ชอบทำงานในแขนงที่ตนมีใจรัก

โดดเด่นในออร่าของผู้สอนศาสนา นักปรัชญาและนักทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นมันยังเป็นสีที่มั่นคงมาก ไม่ซีดหรือจืดจางได้ง่าย
สีส้ม

คนที่มีออร่าสีส้มเป็นหลัก มักพบในกลุ่มบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูง โดดเด่นในสังคม งานขายต่าง ๆ จะเชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่จะรักอิสระและมีธรรมชาติในการแข่งขันสูง เชี่ยวชาญในการใช้คารมเกลี้ยกล่อมราวจะชดเชยสิ่งที่เป็นปมด้อยของตน เมื่อใดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ บุคคลประเภทนี้จะมีการกล่าวแก้ข้อหาอย่างรุนแรง

แม้บุคคลประเภทนี้จะยกย่องคุณค่าต่อปฏิสัมพันธ์ในสังคม แต่ก็ไม่อาจยึดมั่นได้ในระยะยาว เพราะบางครั้งพลังความคิดของเขาจะกระจัดกระจายทำให้พวกเขาไม่อาจทำงานสำคัญ ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้

การที่สีส้มจืดจางลง บ่งถึงการมีความอดทนน้อย
สีเทา

ปกติแล้วจะปรากฏเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่มักบ่งถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ เช่น ความเจ็บป่วย ถ้าเมื่อใดมันขยายใหญ่เต็มออร่า อาจหมายถึงความตายได้

ความป่วยไข้ที่ใกล้เข้ามา บอกได้จากสีเทาที่ปรากฏขึ้นตรงบริเวณในสุดของออร่า

ถ้ามีสีเทาเข้มเป็นบริเวณเล็ก ๆ นั่นคือการบ่งชี้ถึงปัญหาทางสุขภพาที่ร้ายแรงเป็นพิเศษ อาจเกี่ยวกับอวัยวะภายใน ขึ้นกับตำแหน่งที่สีเทาปรากฏด้วย

ถ้ามันปรากฏขึ้นบริเวณตอนบนของออร่า ขยายใหญ่ออกไปจนเลยขอบนอกของออร่า จะบ่งถึงข่าวร้าย อาจจะหมายถึงการสูญเสียบุคคล ผู้ที่เป็นที่รักหรือญาติสนิทมิตรสหาย
สีแดง

อาจจะปรากฏเป็นปื้นใหญ่ขึ้นมาอย่างฉับพลันหรืออาจจะเป็นขนาดเล็กและปรากฏชั่วคราว มักสัมพันธ์กับพฤติกรรที่เกิดอย่างหุนหันพลันแล่นและอารมณ์ที่รุนแรง รวมไปถึงการระเบิดความโกรธอีกด้วย แม้ว่าจะเกิดชั่วคราว แต่เส้นใยสีแดงก็สามารถถักทอดเข้าไปในออร่าจนกลายเนรูปแบบถาวรของพฤติกรรมที่มีศักยภาพสูง แต่บ่อนทำลายพลังในตัวลง มักพบสีแดงเข้มในออร่าของผู้ที่กระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง รวมไปถึงวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปทางรุนแรงด้วย นอกเหนือจากนั้นยังพบได้ในออร่าของนักกีฬา เพราะจะบ่งถึงความชอบความตื่นเต้น กระวนกระวายและพฤติกรรมชอบเสี่ยงได้อีกด้วย




ที่มา :  หนังสือ “พลังออร่า เพื่อสุขภาพบำบัด รักษา และสมดุลแห่งชีวิต "

____________________

เครดิต :  http://www.look4thailand.com

____________________

(Aura Power) ออร่าพลังงานชีวิตในตัวคุณ

ออร่า(aura power) หรือการเปล่งแสงหรือรัศมีบางอย่างออกมารอบตัวคน

คำว่า ออร่า มาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ มาจากภาษากรีก แปลว่า ลมหายใจ

แสง ออร่า อาจจะเป็นแสงสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็นหรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ตาสาม” ก็ได้





แสง ออร่า เป็นแสงซึ่งแตกต่างจากสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง อันเป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น

การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …

แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง

โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์ และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น



แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด

และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้

ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด



ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ……

ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่…..



กล่าวกันว่าการเปล่งแสง ออร่า นี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏแสง ออร่า เข้มข้นมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง

และรองลงมาจะมีรังสี ออร่า แจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ …….

ปรากฏการณ์ ออร่า จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต เพราะทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้

คงมีแต่หลักฐานทางศาสนาต่างๆเกี่ยวกับแสง ออร่า เท่านั้น



ได้มีการจำแนกแสง ออร่า โดย ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของ ออร่า ไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:



1. ออร่า แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มี ออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ

2. ออร่า แบบ ฮาโล (Halo) เป็น ออร่า แบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน

3. ออร่า แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็น ออร่า แบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด

4. ออร่า แบบ กลอรี (Glory) เป็น ออร่า ลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย

ส่วนมากบุคคลที่มี ออร่า แบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด

เรื่อง ออร่า มิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วยอาจจะศึกษาลึกซึ้งมากกว่าทางตะวันตก

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนก

ลักษณะของ ออร่า รังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :

1. ออร่า แบบสุขภาวะรังสี (Health aura)

2. ออร่า แบบกรรมรังสี (Karmic aura)

3. ออร่า แบบชีวรังสี (Vital aura)

4. ออร่า แบบบุคลักษณะรังสี (Aura of Character)

5. ออร่า แบบวิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)







นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสันของ ออร่า จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามอารมณ์ เช่น 

ออร่า สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน 

ออร่า สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ 

ออร่า สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก 

ออร่า สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม 

ออร่า สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา 

ออร่า สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก 

ออร่า สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ

ออร่า สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา …… 

ตอนนี้คุณอาจจะรับรู้ สี ออร่า ของคุณแล้วมั้ง

นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของ ออร่า สีอื่น ๆ อีก 

แต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443 

ยืนยันว่าได้เห็น ออร่า ของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำ

และเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไป



ที่มา : http://xn--03ctav3i.blogspot.com/2011/02/blog-post.html

____________________

เครดิต :

____________________