งวดเข้ามาทุกทีแล้วสำหรับเทศกาลจำอวดคัดตะกวดใส่สูท
งานนี้ “เจ๊โบท็อกซ์” ณ โคตรโกง ก็เลยต้องงดฉีดโบท็อกซ์ชั่วคราว เดินสายไปตอหลดตอแหลทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่า บรรดา “ควาย” ทั้งหลายจะยังคงงั่งเหมือนเดิม ฉะนั้น ถ้าเกิดว่าหน้าเรียวๆ ของอีเจ๊เค้าจะเริ่มๆ กลับมาเหลี่ยมเหมือนเดิมก็โปรดอย่าแปลกใจ เพราะคนมันไม่มีเวลาไปอัดโบท็อกซ์อ่ะ หน้าเก่าก็เลยคืนรูป
หน้าตาก็เหมือนสันดานนั่นแหละ ต่อให้แอ๊บเป็นคนดีไม่ทำเพื่อใคร อุปโลกน์ตัวเองสูงส่งซักแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ไอ้พวกโคตรโกงนี่ล่ะว้า ถ้าไม่ช่วยพวกเดียวกันจะไปช่วยควายที่ไหน ไอ้พวกควายทั้งหลายก็มัวแต่หลงละเมอเพ้อพกกันไปได้ว่าเค้าทำเพื่อตัวเอง ที่แท้ก็แค่อาศัยบันไดควายเหยียบย่ำขึ้นไปสู่จุดหมายเท่านั้นแหละ
คนเราอย่ามัวแต่ร่ำร้องหาคนช่วยเหลือ สองมือสองตีนมีเหมือนกัน ถ้าพยายามและตั้งใจจริง ชีวิตมันจะดีขึ้นมาเอง ไม่มีคนขยันที่ไหนอดตายหรอกย่ะ ไปถามตัวเองเหอะว่าได้พยายามอย่างเพียงพอหรือยัง
นับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นมาเรื่อยๆ ล่าสุด ก็บุกมายึดพื้นที่ว่างเปล่าตั้งรกราก โดยเอาคำว่า “จน” นำหน้า แต่แท้จริงแล้ว ก็คือ พวกควายศิษย์ “ซินาอ้า” ที่กำลังซ่องสุมตั้งหมู่บ้านควาย เพื่อระดมคนก่อนจะยึดบ้านยึดเมืองตามแผนของ “ซินาอ้า” ขืนปล่อยให้คนพวกนี้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ อีกหน่อยจะไม่ใช่แค่เผาบ้านเผาเมือง จะไม่ใช่แค่เสียดินแดนให้ประเทศอื่น แม้แต่ประเทศตัวเองก็จะถูกยึดครองด้วยกองโจร
พูดแล้วก็ปวดหัวไปคุยเรื่องผัวดีกว่าโว้ยยยย
หลังจากที่เลิกรากับ “นางเอกรุ่นพี่” ผู้ศัลยกรรมมาแล้วทั้งหน้า “พระเอกหน้าคิงคอง” แห่งวิกหลายสี ก็เดินสายตีหม้อออหรี่ทุกวี่ทุกวัน เรียกว่า ไม่มีวันไหนที่จะเรี้ยวไม่มันมะเมื่อม เรื่องนี้ซ้อเคยโม้เอาไว้แล้ว เท็จจริงประการใดใครที่ติดตามข่าวคราววงกามดารา ก็คงจะรู้ดีว่า พี่แกโคตรเท่ยืดอก (แต่พกถุงเปล่าไม่รู้) ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง หรือจะพูดกันตรงๆ ก็คือ เออ...ตูเสี้ยน
อันนั้นก็ต้องขอปรบมือให้ในฐานะลูกผู้ชายตัวจริง กล้าแทงก็กล้ารับ แถมพอรับเสร็จก็ยังกลับไปแทงเหมือนเดิมอย่างสบายใจเฉิบ เพราะไหนๆ ความลับก็ถูกเปิดเผยแล้ว ชาวบ้านก็รู้กันหมดแล้ว พระเอกหน้าคิงคองก็เลยไม่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เดินเข้าไปอ่างอย่างภาคภูมิใจ
เล่นเอาน้องหนูเบอร์ตองสาวสวยอีตัวประจำตัวของพระเอก ที่มีชื่อเล่นเหมือน “นางเอกหน้าอูฐ” ถึงกับยิ้มหน้าบานที่ผัวดารายอมรับอย่างน่าไม่อายว่าเที่ยวออหรี่ ช่างมาดแมนไม่แบ่งชนชั้นไอเลิฟยูสุดๆ น่ารักซะขนาดนี้พอพระเอกหน้าคิงคองมาใช้บริการก็เลยสนองสุดชีวิต ทั้งอม ทั้งดูด ทั้งรูด ลีลามีเท่าไหร่ซัดมันหมดทุกท่วงท่า เล่นเอาพระเอกหน้าคิงคองถึงกับหลงหัวปรักหัวปรำ พอเลิกเข้าฉากก็จะไปเข้าปากมดลูกน้องหนูเบอร์ตองทันที
แต่จู่ๆ น้องหนูเบอร์ตองก็ได้หายไปจากอ่าง พระเอกหน้าคิงคองจะมาขัดเสา ทางร้านก็จะอ้างโน่นอ้างนี่ ลาบ้าง ไม่สบายบ้าง หนักๆ เข้าก็บอกว่าลาออกไปแล้ว เล่นเอาพระเอกคิงคองถึงกับอารมณ์เสียที่จู่ๆ เมียคู่กระจู้กลับหายไปไม่มีปี่มีขลุ่ย จะย้ายสังกัดไปขายรูที่ไหนก็ไม่บอก ก็เลยต้องจำใจเรียกนางน้อยๆ เบอร์อื่นมารับใช้ความเสียว
แต่ที่น่าแปลก ก็คือ กลับไม่มีใครอยากจะขึ้นห้องกับพระเอกหน้าคิงคองซักเท่าไหร่ เรียกใครก็บอกติดแขก เรียกใครก็บอกถูกจองไว้แล้ว กว่าจะเหลือมาถึงท้องพระเอกหน้าคิงคองก็ยังกะพญาปลวก ต้องเหลือเลือกไม่มีใครเอาแล้วจริงๆ ถึงจะได้ถองกับเค้าบ้าง
บ่อยครั้งเข้าพระเอกหน้าคิงคองก็เลยไปวีนแตกว่าร้านนี้มันเป็นบ้าอะไร คิดว่าพระเอกดังอย่างกูไม่มีเงินจ่ายค่าอีตัวหรือไงวะ พูดจบก็สะบัดตูดออกจากร้าน และไม่หวนมาตีกาหรี่ปลวกอีกเลย เล่นเอากาหรี่แทบจะปิดซอยเลี้ยงฉลอง เพราะโล่งใจที่หมอนี่ไม่มาโด่แถวนี้อีก
ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะพระเอกหน้าคิงคองซาดิสต์ หรือว่างกจนไม่มีใครอยากจะขึ้นห้องด้วย แต่เป็นเพราะน้องหนูเบอร์ตองที่พระเอกหน้าคิงคองหลงนักหลงหนา “ติดเอดส์” จนถูกไล่ออก งานนี้ก็เลยไม่มีใครกล้ารับช่วงโขยกกับพระเอกหน้าคิงคองต่อ ถึงจะหล่อน่าฟาดก็เหอะ
พระเอกหน้าคิงคองทราบแล้วเปลี่ยนกรุณารีบไปตรวจเลือดซะ อย่าคิดว่าใส่ถุงสวมปลอกแล้วจะปลอดภัย เพราะสิบเท้ายังรู้พลาดแล้วนี่ฟาดกันไปตั้งกี่ท่า ถุงมันก็อาจจะพลั้งแตกได้ใครจะไปรู้ ทางที่ดีรีบไปให้หมอเช็กเถอะพ่อคุณเอ๊ย! เพราะโรคนี้ถึงจะรักษาไม่ได้ แต่ถ้าดูแลดีๆ ก็สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ กว่าเอดส์จะแดกไปทั้งตัวก็คงจะเป็นพระเอกโกยเงินได้อีกหลายปี
แต่ถ้าโชคดีไม่ติดเอดส์ ก็ควรจะบวชล้างซวยซะหน่อย เข้าวัดเข้าวา ฟังเทศน์ฟังธรรม ซะบ้าง เผื่อว่าความเสี้ยนมันจะลดลงบ้าง หูตาจะได้สว่าง หลับตาจะได้ยุบหนอพองหนอง ไม่ใช่ขาวหนอแทงหนอเหมือนทุกวันนี้ กลับตัวกลับใจซะใหม่ เพราะโอกาสไม่ได้มีหลายครั้งนะว้อย....
อีกรายที่นับวันก็ยิ่งจะเข้าใกล้เอดส์ขึ้นไปทุกที ก็คือ “พระเอกคาสโนวา” เจ้าของคอนเซ็ปต์เล็ก สั้น เหม็น ที่ตอนนี้เดาะไปกินลูกคนรวย หวังจะตกถังข้าวสารกลายเป็นเศรษฐีจริงๆ กับเค้ามั่ง หลังจากดีแต่โม้อวดนั่นอวดนี่ แต่สุดท้ายก็มีแต่หำ ด้านลูกคนรวยผู้ชายมีเยอะแยะไม่เอา ดันมาเลือกหมอนี่ สงสัยคงจะชอบไซส์เล็กกลิ่นแรงว่ะ
ส่วน พระเอกคาสโนวา อุตส่าห์โชคดีได้เศรษฐีเป็นแฟนก็ยังไม่เลิกเจ้าชู้ นอกจากจะกิ๊กกับนักศึกษานมโตแล้ว ก็ยังไปฟาดกะเทยสาวสวยที่โมฯมาแล้วทั้งตัว ว่ากันว่า หล่อนสวยเริ่ดยิ่งกว่าดารา แถมกิริยามารยาทก็ยังเหมือนผู้หญิงมาก ที่สำคัญ ลีลารักเด็ดสะเด่า จะเข้าข้างหน้ากระเด๊ากระเด่าข้างหลังก็รับได้ทุกท่วงท่า
แซบขนาดนี้ผู้บริหารช่องหลายสีก็เลยเอาไปกกเป็นเมีย เพราะนึกว่าเป็นผู้หญิงจริงๆ ก็อย่างว่าแหละ พี่แกจะไปแยกออกได้ยังไง ในเมื่อบรรดาเมียๆ นางเอกที่มีอยู่ในช่อง ก็ล้วนแต่นมปลอมหน้าปลอม คลำๆ ไปแล้วมันก็เหมือนกัน ก็เลยฟาดแม่มซะเลย
ด้านพระเอกคาสโนวาก็เช่นกัน ถึงจะผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่ก็หารู้ไม่ว่าเจอหอยปลอม ทุกวันนี้ก็ยังทิ่มๆ ตำๆ กันอยู่เป็นประจำ นี่ยังไม่นับผู้ชายไฮโซอีกหลายต่อหลายคนที่ยายกะเทยคนสวยไปแอ๊บเป็นสาวไปขายบริการให้ เห็นแล้วก็หวาดเสียวแทน ไหนจะหลายผัว ไหนจะแทงข้างหน้า ไหนจะแทงข้างหลัง เกิดนางหน้าสวยติดเอดส์ขึ้นมาล่ะชิหาย
เพราะกะเทยไปนอนกะผู้บริหารช่องหลายสี ผู้บริหารช่องหลายสีก็ไปนอนกับบรรดานางเอกช่องหลายสี บรรดานางเอกทั้งหลายไปนอนกับผัวตัวเอง ผัวก็ไปนอนกับกิ๊ก ฯลฯ วนเวียนแพร่เชื้อกันเป็นทอดๆ อี๋....พูดแล้วก็ขนลุกขนพอง วงการนี้มันช่างสกปรกจริงๆ
ขอเตือนอีกครั้งด้วยความดี เกิดมาสวยหล่อรวยมีโอกาสมากกว่าคนอื่นในสังคม ก็ควรจะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่จับคู่หาที่ลงรู ถ้าผิดพลาดขึ้นมาเดี๋ยวจะหาว่าซ้อไม่เตือน
หัดใช้หัวคิดซะบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่หัวตะบวย...กับ หัวหน่าว
ไม่งั้นได้ตายก่อนแก่แน่...
ขอบคุณบทความซ้อ7 จากผู้จัดการออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
“บักหำน้อย” บ้าบ้อง กับ “แก๊งนมปลอม” ขี้ยา /ซ้อ7
กลับมาแล้วค้า…มิตรรักแฟนคลับทั้งหลาย หลังจากที่ปล่อยเหล่าดารานางฟ้านางสวรรค์ทั้งหลายฟันแทงกันอื้ออ้าสบายจิ๊มิมาหลายสัปดาห์ บัดนี้ได้เวลา อีซ้อผู้พิทักษ์รูคืนชีพแล้วจ้าาาาา
อย่าได้สงสัยว่าซ้อหายไปไหน เพราะจะได้คำตอบเหมือนที่ว่า ซ้อเป็นใคร ? แหม...ก็จะเอาอะไรกะตัวโลน กะจิ้งจกล่ะค้า มันก็ย่อมจะผลุบๆ โผล่ๆ เป็นธรรมดา
ยังไงก็ต้องกราบขออภัยแฟนๆ ทั้งหลาย ที่ทำให้เป็นห่วง ใครที่อยากจะด่าว่าอะไร ซ้อขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดี ส่วนใครที่ใจดีให้อภัยก็ขอให้อยู่ดีมีแฮง โดนผัว “แทง” ท้างปีเด้อค่ะเด้อ
กลับมาทั้งทีก็เลยถือเอาฤกษ์งามยามดีโค้งสุดท้ายก่อนเปิดหีบ ออกมาเห่าหอนแข่งกับพวกตัวเงินตัวทองทั้งหลายที่หน้าด้านออกมาตอแหลประชาชนไปวันๆ ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย ถึงตูจะปากหมา แต่ก็ไม่เคยแหกตาใครนะว้อย
พี่น้องเอ้ยคิดให้ดี มีผัวชั่วยังหาผัวใหม่ได้ แต่ถ้าจะต้องมีผู้นำชั่วๆ ก็อย่ามีมันเลยดีกว่าว่ะ
เห็นแล้วก็อยากจะถุยน้ำลายใส่หน้า ตอนไม่มีผลประโยชน์ไม่เห็นจะมีใครเห็นหัวประชาชน ทีตอนนี้ขนาดหมาเดินผ่านยังแทบยกมือไหว้ “ลายจุด” ออกทุกตัว!!
พอได้เข้ามา ก็แดกกันจนพุงกาง แล้วก็ปล่อยให้ประชาชนตาดำๆ แดกหญ้าแทนข้าวกันต่อไป แต่จะว่าไป ถ้าถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ แล้วมาร้องแรกแหกกระเชอละก็ ตูจะสมน้ำหน้าให้ดู …อยากโง่ให้พวกชิงหมาเกิดจูงเข้าคอกเองนี่หว่า ชิ
ไอ้เรื่องตอแหลต้องยกให้ดารากับนักการเมืองเค้าแหละ ขอให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ จะให้ตอหลดตอแหล ชนิดที่ตายไปเกิดเป็นเปรตปากเท่าหอยมดพวกมันก็ไม่สนใจ ดูอย่าง “บักหำน้อย” พระเอกดาวรุ่งเด็กปั้น “กะเทยถุงปุ๋ย” จิ ตอแหลหัวจรดเท้า หนอย...เข้าวงการกระแดะกินปลาดิบ แต่อยู่บ้านนั่งจกปลาแดกเป็นไหๆ!!
สัญชาติมันเปลี่ยนกันได้ แต่กำพืดมันติดตัวจนวันตายนะยะ
จะว่าไป บักหำน้อย มันดังเพราะผีผลักก็คงจะไม่ผิด เพราะเข้าวงการมาตั้งหลายปี ก็ได้แต่เดินแบบถ่ายโฆษณาผลุบๆ โผล่ๆ พอให้จำหน้าได้ กว่าจะดังเปรี้ยงปร้างได้ขนาดนี้ก็เล่นเอากะเทยถุงปุ๋ยดันกันเหงื่อตกกีบอยู่เหมือนกัน
คนมันไม่เคยดัง จากบักหำน้อยธรรมดาๆ คนนึง กลายมาเป็นพระเอกตัวเงินตัวทองมันก็เป็นธรรมดาที่จะหลงระเริงกันไปบ้าง โดยเฉพาะกะเทยถุงปุ๋ยที่ละโมบโลภมาก ทำตัวเป็นปลิงดูดเลือดทั้งโก่งค่าตัว ทั้งเรื่องมาก งานไหนเงินหนักจัดไป แต่ถ้างานช่วยให้ไปฟรีก็รออีกทีชาติหน้า สุดท้ายก็เลยโดนคนเค้าด่าซะขี้หูไหล แต่กระนั้นกะเทยหน้าเลือดก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกา ตั้งหน้าสูบเงินลูกค้าหน้าโง่กับเด็กในสังกัดต่อไป ไม่อย่างนั้นจะมีเงินไปถอยถุงปุ๋ย เอ้ย กระเป๋า ใบละเป็นแสนๆ เหรอ
ฟากบักหำน้อยก็ไม่ธรรมดา หน้าจอทำตัวขี้เล่นสนุกสนานไม่ถือตัว แต่ใครจะรู้ว่าหลังเบื้องหลังมันไม่ได้หล่อเหมือนหน้าเล้ยขอบอก
ทุกครั้งที่ว่างเว้นจากงาน สถานที่ที่บักหำน้อยชอบไป ก็คือ ผับกะเทยแถวเกษตรนวมินทร์ ซึ่งเป็นผับของเพื่อนกะเทยถุงปุ๋ย รับประกันได้ว่าปลอดภัยห่างไกลปาปารัสซี่ เพราะทุกครั้งที่บักหำน้อยแอนด์เดอะแก๊งกะเทยถุงปุ๋ยไป เจ้าของร้านก็จะสั่งปิดร้านเป็นไพรเวทปาร์ตี้ให้เลยทีเดียว
เมื่อห่างไกลสายตาประชาชี สันดานเก่าก็กำเริบสิคะ พอก้าวเข้าร้านนี้ทีไร บักหำน้อยก็จะเดินดุ่ยๆ ไปที่ซอกหลืบส่วนตัว ก่อนจะนั่งเต๊ะจุ๊ยแล้วก็ควักกัญชาออกมาดูดปุ๋ยๆ สบายใจเฉิบ เหมือนท้องอืดมาหลายวันเพิ่งตดแตกยังไงยังงั้น
พอดึกได้ที่กัญชาออกฤทธิ์เท่านั้นแหละ พระเอกก็พระเอกเถอะ ยังกะคนบ้าดีๆ นี่เอง เหลือบไปเห็นน้ำแข็งหลอดยังหัวเราะได้เอากับมันสิ
ก็ไม่รู้ว่าเก็บกด เพราะโดนกะเทยถุงปุ๋ยกดขี่ หรือสันดานเป็นพวกชอบของต่ำก็ไม่อาจเดาได้ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ เพิ่งรู้ว่าเด็กสมัยนี้เลิกดูดบุหรี่ แต่ไปหันสูบกัญชาแทนแล้วว่ะ ก๊ากๆๆ
ยังไงก็อยากจะเตือนด้วยความหวังดี ถ้าขืนไม่รีบกลับตัวกลับใจ ชีวิตเมิงก็เสี่ยงอยู่สองอย่าง คือ สมองฟั่นเฟือนกับติดคุกหัวโต มันไม่เท่เหมือนเป็นพระเอกนะว้อย…
แฉแต่ผู้ชายเดี๋ยวก็หาว่าซ้อไม่ยุติธรรม งั้นดารามีหอยก็โดนจัดปายยย
พูดถึงเรื่องจอมปลอมทั้งหลายแล้ว ก็ทำให้นึกไปถึงแก๊งนมปลอม อย่าง “น้องแตงเน่า” กับก๊วนเพื่อนซี้อย่าง “นางร้ายของเล่นไฮโซ” กับ “นางงามตาเหล่” ผู้เคยสร้างวีรกรรมทำนมหลุดกลางห้าง จนร้องห่มร้องไห้ขึ้นหน้าหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
ดูภายนอกแก๊งนมปลอมทำเป็นอัปเกรดตัวเองดูดีมีระดับ แต่สันดานดิบจริงๆ ก็ขี้ยาดีๆ นี่เอง ว่างจากเดินสายรับจ้างเปิดนมเปิดหอยตามงานต่างๆ แล้ว สามชะนีนางก็จะนัดแนะกันไปอัดยาต่อที่คอนโดเป็นประจำ ส่วนจะเป็นคอนโดใครก็แล้วแต่สะดวกว่าผัวใครไม่อยู่ พอสุมหัวเทคยากันเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปทำมาหากิน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกว่าจะลงแดงอีกทีโน่นแหละ สาวสามเค้าถึงจะรวมตัวกันเอี้ยเฉพาะกิจ
แต่ในบรรดาสามคนนี้ คนที่ทำตัวน่าสมเพชที่สุดเห็นจะเป็นน้องแตงเน่า เพราะรายนี้เค้าเลวแซงหน้าทุกคน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องผู้ชาย จิ๊มันสั่นยังกะลงแดงยาซะอีก อย่างที่รู้กันว่าหล่อนตะลุยดงกล้วยมาจนช่องแคบมะละกามันพัฒนาเป็นปากอ่าวไทย มีผัวตั้งแต่เป็นพริตตี้กว่าจะก้าวมาเป็นนางเอกแบมาแล้วเป็นร้อย
ล่าสุด อุตส่าห์จับ “ไฮโซหน้าอ่อน” มาเป็นผัวได้ตามเป้า ก็ยังไม่รักดี ยังคันคะเยออยากจะมีผัวเพิ่ม อาศัยจังหวะที่ผัวไปปฏิบัติความดี แอ่นโคกให้ “นักร้องเกาหลี” ดังระดับซูเปอร์สตาร์ ที่เพิ่งจะบินมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทยเสียบต๊าบๆ ตั้ง 3 วัน 3 คืน
แต่จะว่าไปก็น่าเห็นใจหล่อนไม่น้อย เพราะคงจะคันกับกลัวอดตาย เพราะเป็นหมาหัวเน่าไม่มีใครเอามาเป็นปี งานก็ไม่มีแล้วมันจะเอาเงินที่ไหนไปฉีดโบทอกซ์ ว่าแล้วก็เลยทำอาชีพถนัด พอทางผู้จัดเค้ามีแคมเปญพิเศษให้กับน้องร้องเกาหลี ว่า สามารถเลือกดาราไทยแลนด์หนึ่งคน น้องแตงเน่านมปลอมก็เลยเป็นผู้โชคดีได้สิทธิ์อมไมค์ ช่วยเทสต์ไมค์ให้ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตว่างั้นเถอะ 55555
อย่างว่า ทำตัวแบบนี้มันก็ได้ขึ้นสวรรค์แค่ตอนนอนเท่านั้นละว้า พอเรื่องแดงถึงหูผัวไฮโซเท่านั้นแหละ ความหวังที่จะได้เป็นคุณนายก็พังทลายไปพร้อมกับเหงื่อที่หล่อนเสียไป 3 คืน ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้ทำให้ผัวไฮโซหูตาสว่างจนถึงวันนี้
คุณนายก็ไม่ได้เป็น ละครที่เล่นก็ง่อยซะอยากปิดทีวีหนี อีเวนต์ก็เป็นแค่ตัวแถมค่าตัวไม่กี่พัน อะไรมันซวยซ้ำซวยซากขนาดนี้ ดวงก็ตกงานก็หด วาสนาหอยก็ยังไม่มี นี่ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม เลิกมั่วกามบ้าเซ็กซ์เลิกยุ่งกับยาเสพติด
…อีกหน่อยคงเหลือแต่หอยกับรอยยิ้ม
ขอบคุณบทความซ้อ7 จากผู้จัดการออนไลน์
อย่าได้สงสัยว่าซ้อหายไปไหน เพราะจะได้คำตอบเหมือนที่ว่า ซ้อเป็นใคร ? แหม...ก็จะเอาอะไรกะตัวโลน กะจิ้งจกล่ะค้า มันก็ย่อมจะผลุบๆ โผล่ๆ เป็นธรรมดา
ยังไงก็ต้องกราบขออภัยแฟนๆ ทั้งหลาย ที่ทำให้เป็นห่วง ใครที่อยากจะด่าว่าอะไร ซ้อขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดี ส่วนใครที่ใจดีให้อภัยก็ขอให้อยู่ดีมีแฮง โดนผัว “แทง” ท้างปีเด้อค่ะเด้อ
กลับมาทั้งทีก็เลยถือเอาฤกษ์งามยามดีโค้งสุดท้ายก่อนเปิดหีบ ออกมาเห่าหอนแข่งกับพวกตัวเงินตัวทองทั้งหลายที่หน้าด้านออกมาตอแหลประชาชนไปวันๆ ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย ถึงตูจะปากหมา แต่ก็ไม่เคยแหกตาใครนะว้อย
พี่น้องเอ้ยคิดให้ดี มีผัวชั่วยังหาผัวใหม่ได้ แต่ถ้าจะต้องมีผู้นำชั่วๆ ก็อย่ามีมันเลยดีกว่าว่ะ
เห็นแล้วก็อยากจะถุยน้ำลายใส่หน้า ตอนไม่มีผลประโยชน์ไม่เห็นจะมีใครเห็นหัวประชาชน ทีตอนนี้ขนาดหมาเดินผ่านยังแทบยกมือไหว้ “ลายจุด” ออกทุกตัว!!
พอได้เข้ามา ก็แดกกันจนพุงกาง แล้วก็ปล่อยให้ประชาชนตาดำๆ แดกหญ้าแทนข้าวกันต่อไป แต่จะว่าไป ถ้าถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ แล้วมาร้องแรกแหกกระเชอละก็ ตูจะสมน้ำหน้าให้ดู …อยากโง่ให้พวกชิงหมาเกิดจูงเข้าคอกเองนี่หว่า ชิ
ไอ้เรื่องตอแหลต้องยกให้ดารากับนักการเมืองเค้าแหละ ขอให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ จะให้ตอหลดตอแหล ชนิดที่ตายไปเกิดเป็นเปรตปากเท่าหอยมดพวกมันก็ไม่สนใจ ดูอย่าง “บักหำน้อย” พระเอกดาวรุ่งเด็กปั้น “กะเทยถุงปุ๋ย” จิ ตอแหลหัวจรดเท้า หนอย...เข้าวงการกระแดะกินปลาดิบ แต่อยู่บ้านนั่งจกปลาแดกเป็นไหๆ!!
สัญชาติมันเปลี่ยนกันได้ แต่กำพืดมันติดตัวจนวันตายนะยะ
จะว่าไป บักหำน้อย มันดังเพราะผีผลักก็คงจะไม่ผิด เพราะเข้าวงการมาตั้งหลายปี ก็ได้แต่เดินแบบถ่ายโฆษณาผลุบๆ โผล่ๆ พอให้จำหน้าได้ กว่าจะดังเปรี้ยงปร้างได้ขนาดนี้ก็เล่นเอากะเทยถุงปุ๋ยดันกันเหงื่อตกกีบอยู่เหมือนกัน
คนมันไม่เคยดัง จากบักหำน้อยธรรมดาๆ คนนึง กลายมาเป็นพระเอกตัวเงินตัวทองมันก็เป็นธรรมดาที่จะหลงระเริงกันไปบ้าง โดยเฉพาะกะเทยถุงปุ๋ยที่ละโมบโลภมาก ทำตัวเป็นปลิงดูดเลือดทั้งโก่งค่าตัว ทั้งเรื่องมาก งานไหนเงินหนักจัดไป แต่ถ้างานช่วยให้ไปฟรีก็รออีกทีชาติหน้า สุดท้ายก็เลยโดนคนเค้าด่าซะขี้หูไหล แต่กระนั้นกะเทยหน้าเลือดก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกา ตั้งหน้าสูบเงินลูกค้าหน้าโง่กับเด็กในสังกัดต่อไป ไม่อย่างนั้นจะมีเงินไปถอยถุงปุ๋ย เอ้ย กระเป๋า ใบละเป็นแสนๆ เหรอ
ฟากบักหำน้อยก็ไม่ธรรมดา หน้าจอทำตัวขี้เล่นสนุกสนานไม่ถือตัว แต่ใครจะรู้ว่าหลังเบื้องหลังมันไม่ได้หล่อเหมือนหน้าเล้ยขอบอก
ทุกครั้งที่ว่างเว้นจากงาน สถานที่ที่บักหำน้อยชอบไป ก็คือ ผับกะเทยแถวเกษตรนวมินทร์ ซึ่งเป็นผับของเพื่อนกะเทยถุงปุ๋ย รับประกันได้ว่าปลอดภัยห่างไกลปาปารัสซี่ เพราะทุกครั้งที่บักหำน้อยแอนด์เดอะแก๊งกะเทยถุงปุ๋ยไป เจ้าของร้านก็จะสั่งปิดร้านเป็นไพรเวทปาร์ตี้ให้เลยทีเดียว
เมื่อห่างไกลสายตาประชาชี สันดานเก่าก็กำเริบสิคะ พอก้าวเข้าร้านนี้ทีไร บักหำน้อยก็จะเดินดุ่ยๆ ไปที่ซอกหลืบส่วนตัว ก่อนจะนั่งเต๊ะจุ๊ยแล้วก็ควักกัญชาออกมาดูดปุ๋ยๆ สบายใจเฉิบ เหมือนท้องอืดมาหลายวันเพิ่งตดแตกยังไงยังงั้น
พอดึกได้ที่กัญชาออกฤทธิ์เท่านั้นแหละ พระเอกก็พระเอกเถอะ ยังกะคนบ้าดีๆ นี่เอง เหลือบไปเห็นน้ำแข็งหลอดยังหัวเราะได้เอากับมันสิ
ก็ไม่รู้ว่าเก็บกด เพราะโดนกะเทยถุงปุ๋ยกดขี่ หรือสันดานเป็นพวกชอบของต่ำก็ไม่อาจเดาได้ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ เพิ่งรู้ว่าเด็กสมัยนี้เลิกดูดบุหรี่ แต่ไปหันสูบกัญชาแทนแล้วว่ะ ก๊ากๆๆ
ยังไงก็อยากจะเตือนด้วยความหวังดี ถ้าขืนไม่รีบกลับตัวกลับใจ ชีวิตเมิงก็เสี่ยงอยู่สองอย่าง คือ สมองฟั่นเฟือนกับติดคุกหัวโต มันไม่เท่เหมือนเป็นพระเอกนะว้อย…
แฉแต่ผู้ชายเดี๋ยวก็หาว่าซ้อไม่ยุติธรรม งั้นดารามีหอยก็โดนจัดปายยย
พูดถึงเรื่องจอมปลอมทั้งหลายแล้ว ก็ทำให้นึกไปถึงแก๊งนมปลอม อย่าง “น้องแตงเน่า” กับก๊วนเพื่อนซี้อย่าง “นางร้ายของเล่นไฮโซ” กับ “นางงามตาเหล่” ผู้เคยสร้างวีรกรรมทำนมหลุดกลางห้าง จนร้องห่มร้องไห้ขึ้นหน้าหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
ดูภายนอกแก๊งนมปลอมทำเป็นอัปเกรดตัวเองดูดีมีระดับ แต่สันดานดิบจริงๆ ก็ขี้ยาดีๆ นี่เอง ว่างจากเดินสายรับจ้างเปิดนมเปิดหอยตามงานต่างๆ แล้ว สามชะนีนางก็จะนัดแนะกันไปอัดยาต่อที่คอนโดเป็นประจำ ส่วนจะเป็นคอนโดใครก็แล้วแต่สะดวกว่าผัวใครไม่อยู่ พอสุมหัวเทคยากันเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปทำมาหากิน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกว่าจะลงแดงอีกทีโน่นแหละ สาวสามเค้าถึงจะรวมตัวกันเอี้ยเฉพาะกิจ
แต่ในบรรดาสามคนนี้ คนที่ทำตัวน่าสมเพชที่สุดเห็นจะเป็นน้องแตงเน่า เพราะรายนี้เค้าเลวแซงหน้าทุกคน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องผู้ชาย จิ๊มันสั่นยังกะลงแดงยาซะอีก อย่างที่รู้กันว่าหล่อนตะลุยดงกล้วยมาจนช่องแคบมะละกามันพัฒนาเป็นปากอ่าวไทย มีผัวตั้งแต่เป็นพริตตี้กว่าจะก้าวมาเป็นนางเอกแบมาแล้วเป็นร้อย
ล่าสุด อุตส่าห์จับ “ไฮโซหน้าอ่อน” มาเป็นผัวได้ตามเป้า ก็ยังไม่รักดี ยังคันคะเยออยากจะมีผัวเพิ่ม อาศัยจังหวะที่ผัวไปปฏิบัติความดี แอ่นโคกให้ “นักร้องเกาหลี” ดังระดับซูเปอร์สตาร์ ที่เพิ่งจะบินมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทยเสียบต๊าบๆ ตั้ง 3 วัน 3 คืน
แต่จะว่าไปก็น่าเห็นใจหล่อนไม่น้อย เพราะคงจะคันกับกลัวอดตาย เพราะเป็นหมาหัวเน่าไม่มีใครเอามาเป็นปี งานก็ไม่มีแล้วมันจะเอาเงินที่ไหนไปฉีดโบทอกซ์ ว่าแล้วก็เลยทำอาชีพถนัด พอทางผู้จัดเค้ามีแคมเปญพิเศษให้กับน้องร้องเกาหลี ว่า สามารถเลือกดาราไทยแลนด์หนึ่งคน น้องแตงเน่านมปลอมก็เลยเป็นผู้โชคดีได้สิทธิ์อมไมค์ ช่วยเทสต์ไมค์ให้ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตว่างั้นเถอะ 55555
อย่างว่า ทำตัวแบบนี้มันก็ได้ขึ้นสวรรค์แค่ตอนนอนเท่านั้นละว้า พอเรื่องแดงถึงหูผัวไฮโซเท่านั้นแหละ ความหวังที่จะได้เป็นคุณนายก็พังทลายไปพร้อมกับเหงื่อที่หล่อนเสียไป 3 คืน ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้ทำให้ผัวไฮโซหูตาสว่างจนถึงวันนี้
คุณนายก็ไม่ได้เป็น ละครที่เล่นก็ง่อยซะอยากปิดทีวีหนี อีเวนต์ก็เป็นแค่ตัวแถมค่าตัวไม่กี่พัน อะไรมันซวยซ้ำซวยซากขนาดนี้ ดวงก็ตกงานก็หด วาสนาหอยก็ยังไม่มี นี่ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม เลิกมั่วกามบ้าเซ็กซ์เลิกยุ่งกับยาเสพติด
…อีกหน่อยคงเหลือแต่หอยกับรอยยิ้ม
ขอบคุณบทความซ้อ7 จากผู้จัดการออนไลน์
วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
คนเล่นของถึงฆาต
สมัยเด็กผมอยู่ อ.บ้านนา จ.นครนายก ได้พบเห็นเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ส่วนมากเกี่ยวกับอยู่ยงคงกระพัน บ้างก็มีพระห้อยคอ บ้างก็มีตะกรุดหรือผ้ายันต์ติดตัว ที่แน่ๆ คือผู้ชายจะสักยันต์ต่างๆ กันทุกคนไป
ชายชราอายุห้าสิบเศษชื่อลุงดั่น มีอาชีพทำสวนผักอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ลูกๆ แกเติบโตแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อยู่กับเมียชื่อป้าแววเพียงสองคนตายาย เป็นคนเล่าเรื่องของขลังต่างๆ ให้ผมฟังหลายครั้ง โดยเฉพาะความเชื่อถือในกฎเกณฑ์เก่าๆ อย่างเคร่งครัดแทบไม่น่าเชื่อ
ลุงดั่นบอกว่าคนเล่นของจะไม่ยอมไปกินอาหารในงานศพ ถ้าไปงานศพกลับมาต้องรีบล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำแช่ใบทับทิม ไม่กินผลไม้ เช่น มะเฟืองและละมุดเด็ดขาด เพราะถือว่าคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศของสตรี แม้แต่น้ำเต้าก็ไม่กิน เพราะทั้งชื่อและลักษณะเหมือนทรวงอกผู้หญิง ไม่ลอดราวตากผ้า ไม่ลอดใต้บันได เพราะเชื่อว่าจะทำให้ของเสื่อม ถ้าเข้าส้วม (หรือเว็จ) ข้างๆ บ้าน แล้วมีใครมาตะโกนเรียกก็จะไม่ยอมขานรับเลย จนกว่าจะโผล่ออกมาแล้ว
ลุงดั่นมีห้องพระเล็กๆ อยู่ข้างห้องนอน แกเคยพาผมเข้าไปดูครั้งหนึ่งก็เห็นบรรยากาศดูทึบทึมน่ากลัว มีพระบูชากับเทวรูป ตุ๊กตาเด็กสูงราวหนึ่งศอก ปิดทองแทบทั้งตัว...แกบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าบ้านด้วย
"ถ้ามีใครคิดร้ายบุกเข้ามา กุมารทองของข้าก็จะจัดการมันเอง" แกบอกผมพร้อมเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเหี้ยมเกรียมน่าขนลุก
พ่อผมเล่าว่า เมื่อหนุ่มๆ ลุงดั่นเป็นนักเลงใหญ่ ก่อศัตรูไว้มากมาย แม้ว่าต่อมาแกจะวางมือ หรือ "ถอดเขี้ยวถอดเล็บ" แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกศัตรูเก่าๆ ยังจะอาฆาตจองเวรอยู่หรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้เอง ลุงดั่นจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ขู่คำราม ระคนกับเสียงเด็กแผดร้องโหยหวน ตามด้วยเสียงแช่งด่าของลุงดั่น...จนกระทั่งเสียงน่ากลัวต่างๆ เงียบหายไป พวกเราจึงจุดไฟออกไปดู
ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน!
ลุงดั่นนุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว หน้าอกกับแผ่นหลังพราวด้วยลายสักยันต์ มือถือดาบยืนจังก้าอยู่ที่หัวบันได สายลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนอย่างเย้ยหยัน
"มาฆ่ากูซีวะ ไอ้เดนนรก! เมียกูไปทำอะไรให้มึง ไอ้หน้าตัวเมีย...รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้"
เพื่อนบ้านช่วยกันปลอบโยน ลุงดั่นโยนดาบทิ้ง นั่งซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นฮัก...เมื่อเข้าไปในห้องก็ผงะหน้าไปตามๆ กัน
ป้าแววนอนหงายลืมตาโพลง เลือดท่วมตัว ใบหน้าและทรวงอกมีริ้วรอยเหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกเหวอะหวะอย่างน่าสยอง...ใกล้ๆ กันนั้นมีร่างของตุ๊กตาที่เรียกกันว่ากุมารทอง คอขาด แขนขาหักรุ่งริ่งแทบกลายเป็นเศษดินด้วยซ้ำไป!
ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า ศัตรูเก่าของลุงดั่นตามมาอาฆาตจองเวรอย่างไม่ลดละ...แม้ว่าจะทำร้ายลุงดั่นไม่ได้ เมียของแกก็ต้องรับเคราะห์แทน
เมื่อเผาศพป้าแววแล้ว ลุงดั่นก็หาสายสิญจน์มาล้อมบ้านไว้ ตอนกลางคืนก็ถือดาบลงไปเดินวนเวียนรอบบ้าน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกศัตรูปองร้ายอีกครั้ง
สิ่งที่ทำให้เพื่อนบ้านขนหัวลุกก็คือ ตอนดึกๆ เมื่อลุงดั่นขึ้นไปนอนแล้ว มักมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ...หลายๆ คนโผล่หน้าต่างดูก็เห็นป้าแววเดินเลาะอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ที่มีสายสิญจน์ล้อมรอบ พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นก่อนจะเดินหายลับไปทางป่าช้า
อีกราวเดือนเศษ ลุงดั่นก็นอนหลับไปตลอดกาล ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลใดๆ เลย คนลือกันว่าป้าแววหาโอกาสเข้าไปในบ้านจนได้ บางคนก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของศัตรูเก่า เข้าทำนอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" คนเล่นของอย่างลุงดั่นจึงปิดตำนานลงเพียงนี้เอง!
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วิญญาณในตึกคณะพยาบาลศาสตร์
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงของผู้เขียน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริง ของคนใกล้ตัวผู้เขียน ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้เขียนนั่นเอง เขาได้นำเรื่องมาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกทีหนึ่งมาฟังเรื่องของเขากันเถอะ
ไม่มีใครอธิบายได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนบนตึกของคณะพยาบาลในคืนวันนั้น เป็นเสียงของใคร และมาทำอะไรในห้องที่มืดสนิท ในยามวิกาลเช่นนั้น สิ่งนี้ยังเป็นคำถามคาใจของผู้คนที่ได้รับฟังเรี่องราวที่เกิดขึ้นจากปากน้องสาวของผู้เขียนและเพื่อนของเขา ซึ่งเขาทั้งสองมิอาจจะลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นได้
ไม่มีใครอธิบายได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนบนตึกของคณะพยาบาลในคืนวันนั้น เป็นเสียงของใคร และมาทำอะไรในห้องที่มืดสนิท ในยามวิกาลเช่นนั้น สิ่งนี้ยังเป็นคำถามคาใจของผู้คนที่ได้รับฟังเรี่องราวที่เกิดขึ้นจากปากน้องสาวของผู้เขียนและเพื่อนของเขา ซึ่งเขาทั้งสองมิอาจจะลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นได้
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น เมื่อคืนวันอาทิตย์ พ.ศ. 2529 น้องสาวของผู้เขียนศึกษาอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในขณะนั้นอยู่ชั้นปีที่ 3 ของคณะทันตแพทย์ศาสตร์
ใครจะรู้ว่าในคืนวันที่เกิดเหตุ อันน่าขนลุกคืนนั้น จะกลายเป็นคืนที่ทำให้น้องสาวของผู้เขียนซึ่งเรียนทางด้านการแพทย์ หันมาเชื่อเรื่อง ภูติผี วิญญาณ อย่างจริงๆ จังๆ
คืนวันนั้น เป็นช่วงใกล้สอบปลายปี นักศึกษาส่วนมากจะหาจับจองที่ ที่สงบเงียบ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เป็นที่อ่านหนังสือ เพื่อจะได้มีสมาธิในการอ่านหนังสือ
ในคืนวันที่เกิดเหตุ ประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ น้องสาวของผู้เขียนเขาได้ตระเตรียมหนังสือใส่กระเป๋า แล้วเดินออกมารอเพื่อนที่นัดกันไว้ เพื่อที่จะไปหาที่อ่านหนังสือด้วยกัน เมื่อถึงเวลานัดหมาย เพื่อนของเขา ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ ซึ่งอยู่ในสภาพไม่ค่อยจะดีนัก มารับที่หน้าหอหญิง (สมัยนั้นนักศึกษายังไม่ค่อยมีรถคันสวยๆ รุ่นใหม่ๆ ใช้เหมือนสมัยปัจจุบันนี้) จากนั้นทั้งคู่ก็ขับรถตระเวนหาที่อ่านหนังสือ จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของทั้งคู่ก็ไม่รู้ ทั้งคู่ก็มาเจอที่เหมาะๆ ที่จะอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิ โดยไม่มีใครรบกวน มันเป็นศาลาไม้หลังเล็กๆ ยกพื้นสูงจากระดับพื้นดินนิดหน่อย มีที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือ มีแสงไฟเปิดสว่างไว้ อยู่ติดกับข้างๆ ตึกของคณะพยาบาลนั่นเอง บรรยากาศรอบๆ ถูกขนาบข้างด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ซึ่งเขาเล่าว่าปกติแล้วศาลาแห่งนี้จะไม่ค่อยว่างเลย ในวันอื่นๆ ที่ผ่านมาเขาเคยขับรถแวะเวียนมาหลายครั้งไม่เคยได้นั่งสักที จะมีคนนั่งอยู่ก่อนเสมอเพราะบรรยากาศดี สงบเงียบ เหมาะแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างดี
เมื่อทั้งคู่มาถึงศาลา ก็จอดรถไว้ใต้ต้นหูกวางข้างถนนแล้วก็เดินขึ้นไปบนศาลา พร้อมกับพูดคุยกันว่า " วันนี้โชคดีจังไม่มีใครมานั่งที่ศาลาก่อนเรา" เมื่อหาที่นั่งเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ ต่างก็นั่งอ่านหนังสือของแต่และคน โดยไม่พูดคุยกัน จะมีนานๆครั้งที่พูดคุยกัน ซักถามกันในเนื้อหาบทเรียนของหนังสือที่อ่าน บางครั้งเขาก็ละสายตาจากหนังสือมองไปรอบๆ เขาก็เห็นนักศึกษาอีกคู่หนึ่ง นั่งอ่านหนังสือ อยู่อีกมุมหนึ่งข้างๆ ตึกคณะพยาบาล ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก เขาก็ใจชื้นขึ้นมาว่า ยังพอมีเพื่อนอยู่บ้าง
ทั้งคู่นั่งอ่านหนังสือจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร ขณะนั้นเขามองดูนาฬิกาในข้อมือ เป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษๆ ทั้งคู่ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่า จะเกิดเหตุการณ์อันน่าขวัญผวาขึ้นกับพวกเขา ทันใดนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคนที่ใส่รองเท้าส้นสูง เดินดัง ก๊อก! ก๊อก! ไปมาหลายครั้งในห้องเรียนที่มืดสนิท บนตึกคณะพยาบาลซึ่งอยู่ข้างๆ ศาลาที่เขานั่งนั่นเอง
ทั้งคู่มองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วต่างคนต่างก็ก้มหน้าฝืนอ่านหนังสือต่อไป ซึ่งเริ่มจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือแล้ว เสียงจากบนตึกไม่หยุดเพียงเท่านั้น จากเสียงคนเดิน เริ่มมีเสียง ลากเก้าอี้ ดังแกรก กราก ครืดคราด ไปมา ดังขึ้น! ดังขึ้น! และดังขึ้น!
ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง แต่มิกล้าแม้จะเอ่ยปากพูดคุยกัน บรรยากาศตอนนั้น น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก มันเย็นยะเยือก หนาวสั่นสะท้านจับขั้วหัวใจ ขึ้นมาทันที ทำให้ทั้งคู่ ขนลุก ซู่! ขึ้นมาพร้อมๆกัน ต่างคนต่างเก็บหนังสือของตัวใส่กระเป๋า โดยไม่มีการพูดคุยกัน
และขณะที่ทั้งคู่เก็บหนังสืออยู่นั้น เสียงลากเก้าอี้ก็ยังไม่หายไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังแว่วมาจากห้องเดียวกันนั่นเอง ทั้งคู่ได้ยินเหมือนกัน เป็นเสียงเพลงร้องออกมาด้วยเสียงอันโหยหวน เยือกเย็น และลากเสียงยาวๆ ผิดจากเสียงของคนธรรมดา ว่า "บอกว่า...ฉานนน...เสียจาย.....ด้าย....ยีน.....หมายยยย..." ชวนให้ขนลุก ขนพองยิ่งนัก ทั้งคู่ทวีความกลัวขึ้นอย่างสุดขีด โดยไม่มีการรอช้าอีกต่อไปแล้ว ทั้งคู่หยิบกระเป๋าหนังสือได้ แทบจะกระโดดลงจากศาลา
ทั้งคู่ยังวางฟอร์ม ไม่กล้าวิ่ง แต่ในใจอยากจะวิ่งเต็มทนแล้ว ขณะที่ทั้งคู่เดินโกยแนบมาที่จอดรถ เสียงเพลงนั้นยังดังไล่หลังอยู่เรื่อยๆ และก็ร้องอยู่แต่ วรรคเดิมวรรคเดียว กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นตลอด
ทั้งคู่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาที่รถ ในใจก็ภาวนาให้รถสตาร์ทติดง่ายๆด้วยเถิด..ปกติแล้วรถจะสตาร์ทติดยาก ดังที่ผู้เขียนได้บอกแต่แรกแล้วว่า รถอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งคู่คิดในใจว่าถ้ารถไม่ติดก็จะทิ้งรถไว้ตรงนั้น และก็จะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลย แต่ด้วยเดชะบุญ รถคู่ชีพมันช่วยชีวิตในยามคับขัน หรือจะเป็นด้วยความกลัวทำให้รวบรวมพลัง สตาร์ทรถ เพียงครั้งเดียว เครื่องก็ติดขึ้นมาทันที
ทั้งคู่กระโดดขึ้นรถ และบิดคันเร่งอย่างสุด สุด เพื่อออกจากที่ตรงนั้นอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ โดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลย..
เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะคะ วันรุ่งขึ้นของคืนวันนั้น ตอนเวลาประมาณ 3 โมงเช้า เขาก็ได้รับข่าวร้ายจากทางมหาวิทยาลัยว่า มีนักศึกษารุ่นน้องชั้นปีที่ 2 ของคณะพยาบาลได้เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนวัว ระหว่างทางจากบ้านมามหาวิทยาลัย และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน คือคนขับ ส่วนคนซ้อนท้าย บาดเจ็บสาหัส รักษาตัวที่โรงพยาบาล
ทราบเรื่องภายหลังว่าน้องนักศึกษาพยาบาลปีที่ 2 พร้อมกับเพื่อน 1 คน ซึ่งพักอยู่ในหอของทางมหาวิทยาลัยได้เดินทางกลับบ้าน ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ในวันที่เกิดเเหตุ คือวันอาทิตย์
ผู้เป็นพ่อและแม่ ได้พาลูกสาวไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เอี่ยม เพื่อจะให้ลูกสาวนำไปใช้ในมหาวิทยาลัย
กว่าจะทำเรื่องซื้อ-ขายกันเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว พ่อได้บอกกับลูกสาวว่า พรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันจันทร์ พ่อจะเอารถมอเตอร์ไซค์ใส่รถกระบะ แล้วขับไปส่งลูกที่มหาวิทยาลัย แต่ลูกสาวกำลังเห่อรถคันใหม่ ประกอบกับไม่อยากกลับในวันจันทร์ เพราะจะไม่ทันเข้าเรียน จึงไม่เชื่อฟังพ่อ และขอพ่อกับแม่ว่าจะกลับในวันอาทิตย์ให้ได้ โดยจะขับมอเตอร์ไซค์คันใหม่ พร้อมกับเพื่อนไปมหาวิทยาลัยเอง
ผู้เป็นพ่อกับแม่ก็มิอาจจะทนคำขอของลูกสาวได้ จึงปล่อยให้ลูกสาว ขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ออกจากบ้านพร้อมกับเพื่อน เดินทางกลับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว หรือเราเรียกว่า เวลาโพล้เพล้ นั่นเอง
ในระหว่างทาง ก็ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เมื่อมีวัววิ่งตัดหน้ารถอย่างกระชั้นชิด และรถได้พุ่งชนวัวเข้าอย่างจัง ทำให้รถเสียหลัก น้องนักศึกษาซึ่งเป็นคนขับกระเด็นตกข้างทาง คอหักและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนเพื่อนก็บาดเจ็บสาหัสดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อผู้เป็นพ่อกับแม่ ได้รับข่าวร้ายที่เกิดขึ้น หัวใจแทบแตกสลาย เป็นลมล้มพับไปตามกัน
ท่านผู้อ่านที่เคารพคะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของผู้เขียน และเพื่อนของเขาในคืนวันนั้น มันจะเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่ได้รับอุบัติเหตุ ในวันเดียวกันนี้หรือไม่ ก็มิอาจจะพิสูจน์ได้แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้ทั้งสองขวัญผวา และไม่กล้าที่จะไปอ่านหนังสือตรงศาลาข้างตึกนั้นอีกเลย..
หลายวันผ่านไป ทั้งคู่ก็มักจะนำเรื่องเหตุการณ์ในคืนวันนั้นไปเล่าให้เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยฟัง วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเล่าอยู่นั้น ก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นว่า เขาก็เจอ เหตุการณ์นั้นเหมือนกัน เหมือนกันไม่มีผิดเลย มีเสียงคนเดินบนตึก มีเสียงลากเก้าอี้ มีเสียงร้องเพลง และก็เป็นเพลงเดียวกัน ในคืนวันเดียวกันด้วย
สรุปแล้วในคืนวันนั้น เจอเหตุการณ์ ขวัญผวา ไป สองคู่ 4 คน ท่านผู้อ่านจำสองคน ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างจากคู่ของน้องสาวผู้เขียนได้ไหมคะ คู่นั้นแหละค่ะ ก็โดนเหมือนกัน ทั้งคู่ก็วิ่งหนีอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ ในเวลาไล่เลี่ยกัน
เขาทั้ง 4 คน คิดว่า เสียงต่างๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น มันเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่เสียชิวิตจากอุบัติเหตุคนนั้น คงเป็นวิญญาณของน้องมาวนเวียนอยู่บนตึกที่เคยเรียน และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แล้วท่านผู้อ่านล่ะคะ คิดว่าเสียงบนตึกคณะพยาบาลนั้นเป็น เสียง..ของใคร?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)