เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงของผู้เขียน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริง ของคนใกล้ตัวผู้เขียน ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้เขียนนั่นเอง เขาได้นำเรื่องมาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกทีหนึ่งมาฟังเรื่องของเขากันเถอะ
ไม่มีใครอธิบายได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนบนตึกของคณะพยาบาลในคืนวันนั้น เป็นเสียงของใคร และมาทำอะไรในห้องที่มืดสนิท ในยามวิกาลเช่นนั้น สิ่งนี้ยังเป็นคำถามคาใจของผู้คนที่ได้รับฟังเรี่องราวที่เกิดขึ้นจากปากน้องสาวของผู้เขียนและเพื่อนของเขา ซึ่งเขาทั้งสองมิอาจจะลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นได้
ไม่มีใครอธิบายได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนบนตึกของคณะพยาบาลในคืนวันนั้น เป็นเสียงของใคร และมาทำอะไรในห้องที่มืดสนิท ในยามวิกาลเช่นนั้น สิ่งนี้ยังเป็นคำถามคาใจของผู้คนที่ได้รับฟังเรี่องราวที่เกิดขึ้นจากปากน้องสาวของผู้เขียนและเพื่อนของเขา ซึ่งเขาทั้งสองมิอาจจะลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นได้
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น เมื่อคืนวันอาทิตย์ พ.ศ. 2529 น้องสาวของผู้เขียนศึกษาอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในขณะนั้นอยู่ชั้นปีที่ 3 ของคณะทันตแพทย์ศาสตร์
ใครจะรู้ว่าในคืนวันที่เกิดเหตุ อันน่าขนลุกคืนนั้น จะกลายเป็นคืนที่ทำให้น้องสาวของผู้เขียนซึ่งเรียนทางด้านการแพทย์ หันมาเชื่อเรื่อง ภูติผี วิญญาณ อย่างจริงๆ จังๆ
คืนวันนั้น เป็นช่วงใกล้สอบปลายปี นักศึกษาส่วนมากจะหาจับจองที่ ที่สงบเงียบ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เป็นที่อ่านหนังสือ เพื่อจะได้มีสมาธิในการอ่านหนังสือ
ในคืนวันที่เกิดเหตุ ประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ น้องสาวของผู้เขียนเขาได้ตระเตรียมหนังสือใส่กระเป๋า แล้วเดินออกมารอเพื่อนที่นัดกันไว้ เพื่อที่จะไปหาที่อ่านหนังสือด้วยกัน เมื่อถึงเวลานัดหมาย เพื่อนของเขา ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ ซึ่งอยู่ในสภาพไม่ค่อยจะดีนัก มารับที่หน้าหอหญิง (สมัยนั้นนักศึกษายังไม่ค่อยมีรถคันสวยๆ รุ่นใหม่ๆ ใช้เหมือนสมัยปัจจุบันนี้) จากนั้นทั้งคู่ก็ขับรถตระเวนหาที่อ่านหนังสือ จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของทั้งคู่ก็ไม่รู้ ทั้งคู่ก็มาเจอที่เหมาะๆ ที่จะอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิ โดยไม่มีใครรบกวน มันเป็นศาลาไม้หลังเล็กๆ ยกพื้นสูงจากระดับพื้นดินนิดหน่อย มีที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือ มีแสงไฟเปิดสว่างไว้ อยู่ติดกับข้างๆ ตึกของคณะพยาบาลนั่นเอง บรรยากาศรอบๆ ถูกขนาบข้างด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ซึ่งเขาเล่าว่าปกติแล้วศาลาแห่งนี้จะไม่ค่อยว่างเลย ในวันอื่นๆ ที่ผ่านมาเขาเคยขับรถแวะเวียนมาหลายครั้งไม่เคยได้นั่งสักที จะมีคนนั่งอยู่ก่อนเสมอเพราะบรรยากาศดี สงบเงียบ เหมาะแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างดี
เมื่อทั้งคู่มาถึงศาลา ก็จอดรถไว้ใต้ต้นหูกวางข้างถนนแล้วก็เดินขึ้นไปบนศาลา พร้อมกับพูดคุยกันว่า " วันนี้โชคดีจังไม่มีใครมานั่งที่ศาลาก่อนเรา" เมื่อหาที่นั่งเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ ต่างก็นั่งอ่านหนังสือของแต่และคน โดยไม่พูดคุยกัน จะมีนานๆครั้งที่พูดคุยกัน ซักถามกันในเนื้อหาบทเรียนของหนังสือที่อ่าน บางครั้งเขาก็ละสายตาจากหนังสือมองไปรอบๆ เขาก็เห็นนักศึกษาอีกคู่หนึ่ง นั่งอ่านหนังสือ อยู่อีกมุมหนึ่งข้างๆ ตึกคณะพยาบาล ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก เขาก็ใจชื้นขึ้นมาว่า ยังพอมีเพื่อนอยู่บ้าง
ทั้งคู่นั่งอ่านหนังสือจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร ขณะนั้นเขามองดูนาฬิกาในข้อมือ เป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษๆ ทั้งคู่ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่า จะเกิดเหตุการณ์อันน่าขวัญผวาขึ้นกับพวกเขา ทันใดนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคนที่ใส่รองเท้าส้นสูง เดินดัง ก๊อก! ก๊อก! ไปมาหลายครั้งในห้องเรียนที่มืดสนิท บนตึกคณะพยาบาลซึ่งอยู่ข้างๆ ศาลาที่เขานั่งนั่นเอง
ทั้งคู่มองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วต่างคนต่างก็ก้มหน้าฝืนอ่านหนังสือต่อไป ซึ่งเริ่มจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือแล้ว เสียงจากบนตึกไม่หยุดเพียงเท่านั้น จากเสียงคนเดิน เริ่มมีเสียง ลากเก้าอี้ ดังแกรก กราก ครืดคราด ไปมา ดังขึ้น! ดังขึ้น! และดังขึ้น!
ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง แต่มิกล้าแม้จะเอ่ยปากพูดคุยกัน บรรยากาศตอนนั้น น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก มันเย็นยะเยือก หนาวสั่นสะท้านจับขั้วหัวใจ ขึ้นมาทันที ทำให้ทั้งคู่ ขนลุก ซู่! ขึ้นมาพร้อมๆกัน ต่างคนต่างเก็บหนังสือของตัวใส่กระเป๋า โดยไม่มีการพูดคุยกัน
และขณะที่ทั้งคู่เก็บหนังสืออยู่นั้น เสียงลากเก้าอี้ก็ยังไม่หายไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังแว่วมาจากห้องเดียวกันนั่นเอง ทั้งคู่ได้ยินเหมือนกัน เป็นเสียงเพลงร้องออกมาด้วยเสียงอันโหยหวน เยือกเย็น และลากเสียงยาวๆ ผิดจากเสียงของคนธรรมดา ว่า "บอกว่า...ฉานนน...เสียจาย.....ด้าย....ยีน.....หมายยยย..." ชวนให้ขนลุก ขนพองยิ่งนัก ทั้งคู่ทวีความกลัวขึ้นอย่างสุดขีด โดยไม่มีการรอช้าอีกต่อไปแล้ว ทั้งคู่หยิบกระเป๋าหนังสือได้ แทบจะกระโดดลงจากศาลา
ทั้งคู่ยังวางฟอร์ม ไม่กล้าวิ่ง แต่ในใจอยากจะวิ่งเต็มทนแล้ว ขณะที่ทั้งคู่เดินโกยแนบมาที่จอดรถ เสียงเพลงนั้นยังดังไล่หลังอยู่เรื่อยๆ และก็ร้องอยู่แต่ วรรคเดิมวรรคเดียว กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นตลอด
ทั้งคู่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาที่รถ ในใจก็ภาวนาให้รถสตาร์ทติดง่ายๆด้วยเถิด..ปกติแล้วรถจะสตาร์ทติดยาก ดังที่ผู้เขียนได้บอกแต่แรกแล้วว่า รถอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งคู่คิดในใจว่าถ้ารถไม่ติดก็จะทิ้งรถไว้ตรงนั้น และก็จะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลย แต่ด้วยเดชะบุญ รถคู่ชีพมันช่วยชีวิตในยามคับขัน หรือจะเป็นด้วยความกลัวทำให้รวบรวมพลัง สตาร์ทรถ เพียงครั้งเดียว เครื่องก็ติดขึ้นมาทันที
ทั้งคู่กระโดดขึ้นรถ และบิดคันเร่งอย่างสุด สุด เพื่อออกจากที่ตรงนั้นอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ โดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลย..
เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะคะ วันรุ่งขึ้นของคืนวันนั้น ตอนเวลาประมาณ 3 โมงเช้า เขาก็ได้รับข่าวร้ายจากทางมหาวิทยาลัยว่า มีนักศึกษารุ่นน้องชั้นปีที่ 2 ของคณะพยาบาลได้เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนวัว ระหว่างทางจากบ้านมามหาวิทยาลัย และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน คือคนขับ ส่วนคนซ้อนท้าย บาดเจ็บสาหัส รักษาตัวที่โรงพยาบาล
ทราบเรื่องภายหลังว่าน้องนักศึกษาพยาบาลปีที่ 2 พร้อมกับเพื่อน 1 คน ซึ่งพักอยู่ในหอของทางมหาวิทยาลัยได้เดินทางกลับบ้าน ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ในวันที่เกิดเเหตุ คือวันอาทิตย์
ผู้เป็นพ่อและแม่ ได้พาลูกสาวไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เอี่ยม เพื่อจะให้ลูกสาวนำไปใช้ในมหาวิทยาลัย
กว่าจะทำเรื่องซื้อ-ขายกันเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว พ่อได้บอกกับลูกสาวว่า พรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันจันทร์ พ่อจะเอารถมอเตอร์ไซค์ใส่รถกระบะ แล้วขับไปส่งลูกที่มหาวิทยาลัย แต่ลูกสาวกำลังเห่อรถคันใหม่ ประกอบกับไม่อยากกลับในวันจันทร์ เพราะจะไม่ทันเข้าเรียน จึงไม่เชื่อฟังพ่อ และขอพ่อกับแม่ว่าจะกลับในวันอาทิตย์ให้ได้ โดยจะขับมอเตอร์ไซค์คันใหม่ พร้อมกับเพื่อนไปมหาวิทยาลัยเอง
ผู้เป็นพ่อกับแม่ก็มิอาจจะทนคำขอของลูกสาวได้ จึงปล่อยให้ลูกสาว ขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ออกจากบ้านพร้อมกับเพื่อน เดินทางกลับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว หรือเราเรียกว่า เวลาโพล้เพล้ นั่นเอง
ในระหว่างทาง ก็ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เมื่อมีวัววิ่งตัดหน้ารถอย่างกระชั้นชิด และรถได้พุ่งชนวัวเข้าอย่างจัง ทำให้รถเสียหลัก น้องนักศึกษาซึ่งเป็นคนขับกระเด็นตกข้างทาง คอหักและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนเพื่อนก็บาดเจ็บสาหัสดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อผู้เป็นพ่อกับแม่ ได้รับข่าวร้ายที่เกิดขึ้น หัวใจแทบแตกสลาย เป็นลมล้มพับไปตามกัน
ท่านผู้อ่านที่เคารพคะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของผู้เขียน และเพื่อนของเขาในคืนวันนั้น มันจะเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่ได้รับอุบัติเหตุ ในวันเดียวกันนี้หรือไม่ ก็มิอาจจะพิสูจน์ได้แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้ทั้งสองขวัญผวา และไม่กล้าที่จะไปอ่านหนังสือตรงศาลาข้างตึกนั้นอีกเลย..
หลายวันผ่านไป ทั้งคู่ก็มักจะนำเรื่องเหตุการณ์ในคืนวันนั้นไปเล่าให้เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยฟัง วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเล่าอยู่นั้น ก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นว่า เขาก็เจอ เหตุการณ์นั้นเหมือนกัน เหมือนกันไม่มีผิดเลย มีเสียงคนเดินบนตึก มีเสียงลากเก้าอี้ มีเสียงร้องเพลง และก็เป็นเพลงเดียวกัน ในคืนวันเดียวกันด้วย
สรุปแล้วในคืนวันนั้น เจอเหตุการณ์ ขวัญผวา ไป สองคู่ 4 คน ท่านผู้อ่านจำสองคน ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างจากคู่ของน้องสาวผู้เขียนได้ไหมคะ คู่นั้นแหละค่ะ ก็โดนเหมือนกัน ทั้งคู่ก็วิ่งหนีอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ ในเวลาไล่เลี่ยกัน
เขาทั้ง 4 คน คิดว่า เสียงต่างๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น มันเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่เสียชิวิตจากอุบัติเหตุคนนั้น คงเป็นวิญญาณของน้องมาวนเวียนอยู่บนตึกที่เคยเรียน และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แล้วท่านผู้อ่านล่ะคะ คิดว่าเสียงบนตึกคณะพยาบาลนั้นเป็น เสียง..ของใคร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น