วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิ้งก่าไอ้แมงมุม ลำตัวเหมือนสไปเดอร์แมน












กิ้งก่าที่พบเห็นทั่วไปถึงแม้ว่าจะมีสีสันที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับกิ้งก่าตัวนี้มีความพิเศษตรงที่ สีของมันมีความคล้ายคลึงกับชุดของไอ้แมงมุม สไปเดอร์แมน ซุปเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์ ซึ่งคาสซิโอ โลเปซ ช่างภาพชาวบราซิล สามารถบันทึกได้ที่ใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่งของเคนยา ในทวีปแอฟริกา





















และที่น่าทึ่งก็คือ เขาสามารถบันทึกภาพที่กิ้งก่าโพสท์ท่าในอิริยาบทที่คล้ายกับไอ้แมงมุม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาที่ เห็นสัตว์เลื้อยคลานแบบนี้ โดยใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้ภาพนี้




 





กิ้งก่าชนิดนี้นี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mwanza Flat Headed Agama ที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา มักอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม



 







ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/174340.html

____________________


เครดิต :


________________________________



วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คำต่อคำ “ปอนด์” น้ำตาแตก ไหว้ขอโทษคนไทยที่ทำให้เสื่อมเสีย ยันถ้ารู้ว่าให้ถอดหมด จ้างเป็นล้านก็ไม่ทำ

“ปอนด์” น้ำตาแตก ยกมือไหว้ขอโทษคนไทยที่ทำให้เสื่อมเสีย วอนต่างชาติอย่าเหมารวม คนไทยไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน แจงตนทำไปเพราะความจำเป็น ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ยืนยันถ้ารู้ว่าให้ถอดหมด จ้างเป็นล้านก็ไม่ทำ เจ้าตัวเชื่อโชว์ในวันนั้น มีการเตี้ยมกัน ก่อนรับตกใจที่ตนเข้ารอบ ทั้งที่วาดไปมั่วๆ ด้าน เวิร์คพอยท์ รีบออกโรงขอให้จบเพียงเท่านี้

หลังพิธีกรชื่อดัง “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” เป็นคนแรกที่คว้าตัว “ปอนด์ ดวงใจ จันทร์เสือน้อย” สาววัย 23 ปี หนึ่งในผู้เข้าประกวดรายการ “ไทยแลนด์ ก็อตทาเลนต์” ผู้อื้อฉาว ที่เปลือยอกวาดภาพออกรายการ จนโดนสังคมรุมจวก มาเปิดใจในรายการ “มิราเคิล ออฟไลฟ์” ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ซึ่งเทปดังกล่าวออกอากาศไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ “ณวัฒน์” ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ปอนด์ถึงที่บ้านเกิด จ.แพร่ ซึ่งนอกจากครั้งนี้จะเป็นการเปิดใจครั้งแรกแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ปอนด์ได้กลับมาเยี่ยมบ้านตั้งแต่มีข่าวคราวเกิดขึ้น ตลอดการสัมภาษณ์ ทำให้มีบางช่วงบางตอนที่เจ้าตัวถึงกับน้ำตาแตกเลยทีเดียว

โดยปอนด์ได้เปิดฉากเผยว่า เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับการติดต่อจากคนชื่อ “บอย” ให้ไปแข่งในรายการดังกล่าว ด้วยเงิน 1 หมื่นบาท โดยบอยเป็นคนขับรถเก๋งมารับถึงที่ และมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง จากเดิมที่ให้ใส่เสื้อชั้นใน เปลี่ยนเป็นเปลือยท่อนบนทั้งหมด เพื่อจะได้เป็นกระแสเรียกเรตติ้งให้กับรายการ

ซึ่ง ปอนด์ บอกว่า ตนลำบากใจมาก แต่ก็ต้องทนทำตามที่นายหน้าบอก เพราะไม่มีทางเลือก เนื่องจากขณะนั้นสามีตนกำลังตกงาน ลูกก็ไม่มีนมกิน และต้องหาเงินไปดูแลพ่อที่เป็นอัมพาตมากว่า 11 ปี แต่ถ้าไม่ทำก็กลัวไม่ได้เงิน เพราะนายหน้าคนดังกล่าวยื่นเงื่อนไข จะจ่ายเงินหลังจบโชว์เท่านั้น

พร้อมกันนี้ ปอนด์ ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันตนประกอบอาชีพโคโยตี้ และไม่เคยร่ำเรียนศิลปะ ภาพที่เขียนออกไปนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นภาพอะไร เพราะอยากทำให้เสร็จๆ ไป จึงวาดไปมั่วๆ แต่กลับได้เข้ารอบ ทำให้รู้สึกตกใจมาก อย่างไรก็ดี ปอนด์ ยืนยันว่า ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าให้ถอดหมด ตนคงไม่รับงานนี้อย่างแน่นอน

“ความจริงวันนั้น ก่อนที่จะเอาน้อง (ลูกสาววัย 6 เดือน) กลับมาบ้าน ตอนเดือนมีนาฯ ก็มีพี่คนนึงมาติดต่อบอกว่าไปมั้ย ไปออกรายการเขาให้เงินนะ ก็แค่ไป ไม่ต้องถอดอะไร แค่ใส่เสื้อชั้นใน แล้วปลดกระดุมนิดนึงเท่านั้นเอง แล้วให้ 1 หมื่น ก็เลยโอเค แล้วพอถึงวันนัดกัน พี่คนที่เขาติดต่อมา เขาก็เอารถมารับเองตั้งแต่ตี 4 ก็ไปถ่ายทำที่โรงละครอักษรา วันนั้นไปถึงก็สักประมาณตี 5 หน่อยๆ ไปถึงก็ไปนั่งรอ เพราะเขากำลังเตรียมงานอยู่ 7 โมงเช้า ถึงจะได้ขึ้นไป แต่การแสดงของหนูจริงๆ ได้เริ่มตอน 6 โมงเย็น เราก็ต้องอดทนรอเพราะเงิน”

“ตอนแรกเขาไม่ได้บอกอะไร แต่พอไปถึงก็เริ่มรู้ว่ามันจะเป็นแบบไหน พอเข้าไปถึงเขาก็บอกให้ไปกรอกใบสมัคร คนก็เยอะ เราก็รอเข้ารับสมัคร แต่ของเราพี่เขาเอามาให้ไว้อยู่แล้ว เราก็กรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ก่อนที่จะไปก็มีการซ้อมโชว์ที่เราจะไปแสดงอยู่ค่ะ พี่คนที่มาจ้างเขาบอกว่าตอนซ้อมก็ปกตินะ แต่พอตอนเล่นจริงก็ถอดนะ เราก็บอกอ้าว ตอนแรกไหนบอกไม่ถอด เขาก็บอกเออนะ นิดๆ หน่อยๆ เขาบอกแป๊บเดียว มันจะได้หวือหวา รายการเขาจะได้หวือหวา เราจะได้ผ่านเข้ารอบ เขาก็บอกว่า ถ้าเราผ่านเข้ารอบจะได้เงินรางวัล 10 ล้าน”

แล้วทีมงานเขาว่าไงบ้าง?
“เราไม่ได้ไปยุ่งกับทีมงาน”

เขาสนับสนุนให้เราถอดด้วยมั้ย?
“ก็มีพี่คนนี้คนเดียวที่มาคุยกับเรา คนที่พาเรามาจากที่บ้าน นอกนั้นก็ไม่ได้คุยกับใคร ที่ตัดสินใจถอด ตอนแรกก็ใส่เสื้อ ทาคอ เอาสีลง แป๊บเดียวเองก็หันมาแล้วก็หันกลับ จบตอนไหน ก็คือ ตอนนั้น ก็แป๊บเดียว ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รับเงิน ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ก็กลัวจะไม่ได้ กลัวจะมาเสียเปล่าก็เลยทำ วันนั้นก็มีคนมาดูเยอะพอสมควร เห็นแบบนั้นก็มีสั่น เราก็ก้มหน้าก้มตารีบทำ แป๊บเดียวก็เสร็จล้างเนื้อล้างตัว รับเงินแล้วก็กลับเลย ก็คิดแค่นี้”

“แต่ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะมีผลต่อเนื่องมาในวันนี้ พี่เขาก็บอกว่าไม่ต้องห่วง ทางรายการเขาเซ็นเซอร์อย่างดี หลังรายการออกไปเพื่อนก็โทร.ถามกันใหญ่เลยว่าทำไม ใช่เรารึเปล่า เราก็บอกว่าใช่ เขาบอกเฮ้ยทำไม...มันแรงมากเลยรู้มั้ย เราก็อธิบายให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็เข้าใจ เขาก็บอกว่าไม่ต้องไปดูนะ รู้มั้ยในยูทิวบ์เขาด่าเสียๆ หายๆ เยอะ เพื่อนก็ให้กำลังใจบอกว่าไม่เป็นอะไร”

อย่าง “อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” หรือหลายคนออกมาพูดว่ามันไม่เป็นศิลปะ ขนาดจับพู่กันยังไม่เป็นเลย จริงๆ แล้วปอนด์มีความรู้ด้านนี้มั้ย?
“ไม่ค่ะ “

วันนั้นตั้งใจวาดเป็นตัวอะไร?
“ไม่ได้มองค่ะ ขึ้นไปถึงก็รีบถูๆ วาดๆ ให้เสร็จไป ไม่ได้มองว่าเป็นรูปอะไร”

คือวันนั้นไปไม่ได้มีรูปในจินตนาการไปเลย เป็นเพียงแค่มาแสดงโชว์ไม่ได้ตั้งใจจะไปวาดรูปอะไรทั้งสิ้น?
“ค่ะ”

แต่ดันผ่านเข้ารอบ ตอนนั้นตกใจมั้ย?
“ตกใจค่ะ ตอนแรกคิดว่ายังไงก็ไม่ผ่าน พอออกไปดูแล้ว ก็คิดว่ายังไงกรรมการก็คงไม่ให้ผ่าน แต่พอมันผ่านเราก็ตกใจมาก เราไม่ได้คิดอะไรต่อไว้ พอคลุมผ้าได้ เขาถามอะไรมาก็ตอบๆ ไป เพื่อที่จะได้เข้าไปข้างในเร็วๆ ไม่ทันได้มองอะไรด้วยซ้ำ พอเขาถามอะไรมาก็มองตอบ ก็เราไม่กล้ามอง ไม่กล้าสบตาใคร คิดว่าพอเขาถามอะไรมา เราก็รีบตอบให้มันจบๆ จะได้เข้าไปข้างใน ล้างเนื้อล้างตัวแล้วกลับ พอรับเงินเสร็จ เขาให้รถมาส่งที่บ้าน แต่พี่คนนั้นแยกย้ายกลับไปแล้ว”

คนจะมองว่าการแสดงชุดนั้นเป็นการเตี้ยมมาทั้งหมด ถ้ามองในมุมของปอนด์การแสดงในวันนั้นถือว่าเตี้ยมมั้ย?
“เตี้ยมค่ะ”

หลังจากที่มีข่าวออกไปมากมายทำไมถึงเลือกที่จะหนีหายไป?
“ก็ถ้าเกิดมีคนมาเจอก็ต้องมาถามซักไซ้ มันเยอะไป เราอยู่ลำบาก ไหนจะไปทำงาน ถ้าเกิดเขาตามไปที่ทำงานอย่างนั้นอย่างนี้ มันวุ่นวาย ชีวิตหนูเหมือนจะพังเลย แต่ตอนนี้ก็ตั้งสติได้แล้ว”

“ตอนนั้นสภาพจิตใจแย่ค่ะ ไปไหนก็มีไม่ได้ลำบาก เครียดค่ะ ต้องกินยาตลอดเวลา มีบ้างที่ต้องไปโรงพยาบาล เพราะเครียดเยอะ ไปนอนพักที่โรงพยาบาลแต่หนูขอกลับไปนอนที่ห้องดีกว่า หมอบอกว่า เป็นภาวะหายใจเกิน ตอนนี้ถ้าเกิดยังเครียดอยู่แบบนี้ อาจจะกลายเป็นโรคจิต หรือโรคประสาท ต้องรับการบำบัดค่ะ มีบ้างที่มีอาการกลัว บางทีไปก็มีคนมอง เขาก็นินทาแต่หนูก็พยายามไม่สนใจ”

“วันที่ออกรายการตอนแรกหนูยังไม่ทราบ เพราะว่าทำงาน แต่เพื่อนโทร.มา แม่ก็โทร.มาถามกันว่าใช่เรามั้ย ทำไมทำแบบนี้ แต่ตอนนั้นหนูไม่ได้อธิบายให้ฟังเพราะยังทำงานอยู่ แม่ก็เครียดเพราะอายเขา ทำไมทำแบบนี้ หนูก็ไม่สบายใจทำงานไม่ได้ หลังจากที่มีข่าวออกไปชีวิตเปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ไม่กล้าเจอผู้คน”

1 หมื่นกับการแสดงในวันนั้นคิดว่าคุ้มมั้ย?
“ไม่ค่ะ”

ถ้าสมมติข้อตกลงตั้งแต่แรกบอกว่าถอดหมดจะไปมั้ย?
“ไม่ค่ะ”

คิดว่าถ้าจำเป็นต้องถอดหมด คิดว่าค่าตัวของเราน่าจะเป็นสักเท่าไหร่?
“ถ้าจริงๆ รู้ว่าต้องถอดหมด หนูยอมไม่เอาดีกว่า จะบอกเลย”

เป็นแสนเป็นล้านก็ไม่รับ?
“ไม่ค่ะ”

พร้อมกันนี้ “ปอนด์” ยังได้เผยถึงชีวิตที่โตมากับครอบครัวที่ต้องปากกัดตีนถีบ ทำให้ชีวิตผันผวน กระทั่งต้องมาตกเป็นเป้าให้สังคมโจมตี เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่เกิดจากความจำเป็นของตนเอง

“ตอนเด็กๆ ชีวิตไม่ถึงกับลำบากมาก แต่ตั้งแต่พ่อรถมอเตอร์ไซค์คว่ำเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว กลายเป็นอัมพาตชีวิตเราก็เปลี่ยนหมด (ร้องไห้) เมื่อก่อนพ่อเป็นภารโรง และเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงด้วย ตอนแรกที่พ่อป่วยก็แย่ค่ะ เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ขยับหัวไปมาได้อย่างเดียว หลังออกจากโรงพยาบาลแม่เป็นคนทำกายภาพบำบัด แต่ก็ไม่เป็นผลตอนนี้ก็ยังแย่อยู่ พ่อยังต้องไปโรงพยาบาลทุกเดือน เพราะต้องไปเปลี่ยนสายฉี่ เพราะฉี่และอุจจาระด้วยตัวเองไม่ได้”

“พอพ่อป่วยชีวิตก็ลำบากขึ้น เพราะไม่มีใครหาเงิน แม่ก็ต้องไปรับจ้างทำนา ตัดหญ้า ทำความสะอาดบ้าน บางวันก็ได้ 100-150 บาท ส่วนหนูก็ไปรับจ้างร้องเพลงร้านอาหาร หนูชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก รายได้วันละ 60 บาท ถ้าได้พวงมาลัยเขาก็ให้พวงละ 10 บาท มากสุดก็ 4-5 พวง ตอนนั้นหนูอยู่ ม.1 ต้องไปร้องเพลงทุกวันเพราะเอาเงินไปโรงเรียน ค่ารายงาน ค่ารถ ค่ารักษาพ่อเดือนละ 4-5 พัน”

“พอถึง ม.5 หนูก็หยุดเรียน แล้วก็มาทำงานกรุงเทพฯ ตอนแรกกลัวจะอยู่ไม่ได้ พอไปก็ไปพักกับญาติ แล้วก็ไปสมัครงานขายของในโลตัส ตอนนั้นเงินเดือน 7 พันกว่า ถ้าขยันทำโอก็ได้ ส่งให้ที่บ้าน 2-3 พัน แล้วก็ไปทำงานที่เซเว่น แต่ทำได้ 2 อาทิตย์ แล้วก็กลับบ้าน ตอนนั้นหนูไม่รู้จะทำอะไร แล้วเพื่อนหนูก็แนะนำให้รู้จักกับพี่ที่ทำโคโยตี้เพราะเห็นหนูทำงานร้องเพลงทำงานกลางคืน เขาก็ถามว่าลองมั้ย ได้เงินเยอะนะ เขาบอกว่าได้วันละ 500 ความรู้สึกหนูคือมันได้เยอะ หนูก็กลัวเขาหลอกหนูเลยไม่กล้าไป”

“แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำ ที่แรกหนูไปทำที่จังหวัดเลยก่อน อาชีพนี้มันก็เสี่ยง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะรักษาตัวเราด้วย ตอนนี้หนูมีครอบครัว มีสามี มีลูกแล้ว ชื่อน้องกระต่าย อายุ 6 เดือนกว่า ตอนตั้งท้อง 9 เดือนลำบากเพราะไม่ได้ทำงานเลย ทางบ้านก็ลำบากเพราะหนูส่งเงินมาน้อย บางเดือนก็ไม่ได้ส่งเลย เพราะแฟนก็งานคนเดียว”

ต่อคำถามที่ว่า คิดว่าชีวิตจากนี้จะเดินทางต่อไปในอนาคตยังไงดี? เจ้าตัวก็เผยว่า...
“ก็คงทำงานปกติแหละค่ะ ถ้าเก็บเงินได้ก็อยากเปิดร้านอะไรสักอย่างที่บ้าน”

ถ้าให้เลือกขอได้ จะขออะไรจากใครบ้าง กับคนที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้?
“ก็อยากให้เรื่องมันจบ อย่าขุดคุ้ยหนูอีกเลย แค่นี้มันก็ลำบากพอแล้ว”

ให้ปอนด์พูดอะไรกับคนไทยที่ติดตามข่าวนี้ หรือว่ามีอะไรอยากจะขอโทษมั้ย?
“(ไหว้) หนูต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ก็ขอให้การกระทำครั้งนี้ของหนูเป็นอุทาหรณ์ ฐานะทางบ้านของหนูยากจน หนูถึงมีความจำเป็น และจำใจที่จะต้องทำเพื่อครอบครัวที่บ้าน”

รายการนี้เป็นรายการที่คนต่างประเทศได้ดูด้วย อยากจะบอกอะไรกับชาวต่างประเทศที่ได้ดูรายการมั้ย อาจจะให้คนไทยได้อธิบายให้คนต่างชาติได้ฟัง?
“อยากบอกคนไทยที่อยู่เมืองนอก ช่วยอธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่ใช่คนไทยทุกคนที่เป็น เพราะว่าหนูจำเป็น เพราะว่าเงินต้องเอามาเลี้ยงครอบครัว ก็ไม่ได้คิดอะไร ต้องทำให้คนไทยต้องมาเสียหายไปด้วย หนูก็ขอโทษด้วยค่ะ (ยกมือไหว้)”

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของ บริษัท เวิร์คพอยท์ ได้เผยว่า ได้ดูรายการแล้ว รู้สึกว่า น้องปอนด์ พูดชัดเจนว่า ทีมงาน เวิร์คพอยท์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่มีเอเยนต์คนกลางเป็นผู้พาน้องปอนด์เข้ามาแข่งในรายการ ซึ่งก่อนขึ้นเวทีน้องปอนด์เองก็บอกชัดเจนว่า ไม่ได้เจอกับผู้ที่เป็นทีมงานจากเวิร์คพอยท์เลย

ทั้งนี้ ประชาสัมพันธ์เวิร์คพอยท์ ยังได้กล่าวต่ออีกว่า โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าน้องปอนด์คงต้องการพูดแค่ในส่วนของเขา ไม่อยากพาดพิงใคร อยากจะมีชีวิตที่สงบ และไม่อยากให้ใครขุดคุ้ยเรื่องนี้อีกแล้ว ด้านทางทีมงานก็ไม่ได้ติดใจเรื่องอะไร ซึ่งหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทางทีมงานเวิร์คพอยท์ก็ไม่ได้ติดต่อไปทางน้องปอนด์อีก เพราะทราบมาว่าทางนั้นก็มีมูลนิธิต่างๆ ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่แล้ว และทางบริษัทก็รู้สึกยินดีมากๆ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทเองก็ได้รับผิดชอบในด้านต่างๆ ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และคิดว่าเรื่องนี้น่าจะจบลงเพียงเท่านี้

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

“เบนซ์” ขอร้องอย่าเอาตนไปเกี่ยว “ปอนด์” เปลือยอก โยนให้ไปโทษคนที่เกี่ยวข้อง

“เบนซ์” ออกตัวอย่าเอาตนไปเกี่ยว “ปอนด์ TGT” เปลือยอกวาดรูป แจงตนได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วว่าไม่เหมาะสมยังไง บอกถ้าจะโทษต้องไปโทษคนที่เกี่ยวข้อง ด้านความรักกับ “มิค” เจ้าตัวรับหวั่นอาถรรพ์เลข 7 ถึงขั้นประสาทกิน

ถูกหางเลขไปเต็มๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ สำหรับ “เบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา” กับการทำหน้าที่เป็นหนึ่งในกรรมการรายการ “ไทยแลนด์ ก็อตทาเลนต์” เทปที่ “ปอนด์ ดวงใจ จันทร์เสือน้อย” ออกมาเปลือยอกวาดภาพ จนกลายเป็นประเด็นร้อนโดนสังคมรุมประณามถึงความไม่เหมาะสม แม้ในวันนั้นทางเบนซ์เองก็ได้ตัดสินไม่ให้ปอนด์ผ่าน อีกทั้งยังจวกด้วยว่าเป็นโชว์ที่อาศัยแค่ความกล้าอย่างเดียว พร้อมกับแสดงความไม่พอใจ 2 พิธีกรร่วมอย่าง “โจ นูโว” และ “ภิญโญ รู้ธรรม” ที่ให้ปอนด์ผ่าน ถึงขั้นลุกเดินออกไปจากเวที และตามไปโวยวายต่อหลังเวที แต่กระนั้นก็มีเสียงวิจารณ์ตามมาต่างมุมมองกันไป บ้างก็เห็นด้วยกันเบนซ์ที่ตัดสินแบบนี้ บ้างก็บอกว่า เป็นการจัดฉากของทางรายการ และพิธีกร บางกระแสก็แอบจับผิดว่าเบนซ์แสดงไม่เนียน ฯลฯ

ซึ่งตั้งแต่เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา กระทั่งมีการออกมาแฉ และตัวของสาวปอนด์เองได้ออกมายอมรับว่า ตนโดนจ้างให้ไปแก้ผ้าเปลือยอกออกรายการ ด้วยเงิน 1 หมื่นบาท โดยมีนายหน้าเป็นคนติดต่อและมารับตนถึงที่ จนบริษัท เวิร์คพอยท์ ในฐานะผู้ผลิต โดนซัดซะเละว่าแหกตาคนดู ล่าสุด เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสเจอเบนซ์ที่ควงแฟนหนุ่ม “มิค บรมวุฒิ หิรัญยฐิติ” มาร่วมงาน The 16th SAHA GROUP FAIR ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นการออกงานครั้งแรกตั้งแต่มีข่าวออกมา แต่ทันทีที่ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว ก็ทำเอาเบนซ์เปลี่ยนโหมดอารมณ์ขุ่นขึ้นมาทันที ก่อนแจงสั้นๆ ว่า…

“ก็ตามที่ข่าวออกไปแหละค่ะ คือ เบนซ์ไม่รู้ว่าใครจะมองยังไงค่ะ เบนซ์ทำตามหน้าที่ของเบนซ์อย่างดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ และก็ได้แสดงความคิดเห็นในส่วนตัวไปแล้ว ซึ่งหากส่วนอื่นๆ ที่มีข้อตำหนิต้องไปว่าส่วนนั้นเอง เบนซ์ไม่เกี่ยว เราทำในส่วนของเราแล้ว ได้แสดงความคิดเห็นแล้วว่ามันไม่เหมาะยังไง”

นอกจากประเด็นร้อนที่รอให้เจ้าตัวเคลียร์แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องความรักกับแฟนหนุ่ม “มิค” ที่บ่มรักกันมานานนม 7 ปีแล้ว ซึ่งทางฝ่ายของเบนซ์ก็ยอมรับว่ากลัวเรื่องอาถรรพ์เลข 7 จนประสาทกิน

เบนซ์ : “เบนซ์จิตตกมากเลยนะ เป็นคนประสาทกินมาก กลัวไปหมด เพราะคนรอบข้างเองก็เคยมาเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับประสบการณ์เลข7 มาเยอะ เราเลยรู้สึกกลัว แต่มิคก็จะคอยเตือนมาตลอดว่าอย่าคิดมากเลย โอเคมันแค่ตัวเลข”

มิค : “โอ้ย จะ 8 ปีแล้วอย่าไปซีเรียสเลย ผ่านมาเกินครึ่งขนาดนี้แล้ว ก็คนอื่นผ่านมาเป็น 10 ปี ก็เยอะแยะเขาไม่เคยมาโม้ให้ฟัง แต่ไอ้คนที่คบ 7 ปีแล้วชอบมาพูดให้ฟังไง ว่าพอครบ 7 ปีแล้วเลิกมา ย้ำอยู่แค่นี้ แต่ก็ยังมีคู่ที่เขาคบกันเกิน 7 ปีก็มีเยอะแยะ”

เบนซ์ : “เรื่องแก้เคล็ดอะไรก็ยังไม่มีค่ะ แต่ถ้าทำอะไรได้ก็ดีเราก็ไม่รู้ว่าเขาทำยังไงกัน แต่เบนซ์ว่าสิ่งที่ทำได้เลยตอนนี้คือเวลาทะเลาะกัน ก็จะคอยเตือนๆ กันหน่อย คอยเบรกว่าจะทะเลาะกันเพื่ออะไร พี่มิคเขาก็คอยเตือนตลอด”

ยืนยันว่า ไม่กดดันถูกถามแต่เรื่องแต่งงาน ฝ่ายชายยอมรับกลัวแม่แฟนสาวที่สุด

มิค : “ไม่ครับ ตอนนี้ยังสนุกกับการทำงานงานเยอะมาก ช่วงนี้ละครที่ถ่ายไปแล้วก็เริ่มปิดกล้อง ซึ่งผมก็กำลังรอเรื่องใหม่อยู่ ขอเก็บตังค์ก่อน หลายคนมองว่าผมกลัวคุณแม่เบนซ์ ก็จริงครับ เรื่องนี้ผมยอมรับ (หัวเราะ) ผมยอมรับแต่โดยดีว่าผมกลัวแม่เบนซ์ ทำไมหรือครับ (ให้ส่งพี่ชาย ชาตโยดมไปช่วยขอ?) จะดีเหรอครับ (หัวเราะ) รู้จักแม่เบนซ์กันน้อยไปหรือเปล่า เรียกว่ายกกันไปทั้งวงการเลยดีกว่าถึงจะดีขึ้น”

เบนซ์ : “ต้องไปแบบนั้นแหละค่ะดีสุด คือเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับความพร้อมมากกว่า ถ้าเรามีความพร้อมก็จะไม่กลัวอะไร แต่แม่เบนซ์ก็ดีแล้วละค่ะ ใจดีขึ้นเยอะ เพียงแต่ว่าเราต้องรอหลายเรื่องๆ หลายอย่าง”

มิค : “เราจะเอาลูกสาวเขามาอยู่กับเราทั้งที ก็ต้องมีบ้าน หรือมีอะไรที่การันตีได้ก่อนดีกว่า”

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

ศึกนางงามปะทุ! “ปุ๊กลุก” ไม่ถือสา “กี้ รฐกร” กร้าวอยากเกิดมาเพื่อฆ่าตน

“ปุ๊กลุก” ยี้ “ใบเตย” ยืนกรานไม่ให้สัมภาษณ์และถ่ายรูปคู่ บอกใจรู้สึกยังไง กายก็ขอทำอย่างนั้น พ้อรู้สึกแย่กับข่าวที่ว่าตนไม่สนใจการเรียน จนต้องเข้าเรียนปี 1 ใหม่ ก่อนลั่นไม่ถือสา “กี้ รฐกร” นางงามร่วมเวที กร้าวอยากเกิดมาเพื่อฆ่าตน

ดวงสมพงษ์ให้ต้องป๊ะกันตลอด สำหรับ 2 สาว “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” และ “ใบเตย สุธีวัน ทวีสิน” อดีตคนใกล้ตัวของหนุ่ม “วีรภาพ สุภาพไพบูลย์” ที่ล่าสุด มาจ๊ะเอ๋กันในงานสตาร์ปาร์ตี้ทีวีพูล งานนี้แม้นักข่าวจะขอให้ทั้งคู่ยืนถ่ายรูปร่วมเฟรมกัน ด้านสาวใบเตยนั้น ยินดี ผิดกับสาวปุ๊กลุกที่ยืนยันจุดยืนชัดเจน ว่า ไม่ขอให้สัมภาษณ์และถ่ายรูปกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

“ดวงสมพงษ์กันเนอะ ก็เฉียดกันไม่มีอะไรค่ะ แต่ปุ๊กลุกยังไม่เห็นเขานะ มีคนมาบอก เรื่องถ่ายรูปคู่ หรือว่าอะไรคิดว่าอะไรที่เป็นประเด็นหยุดไว้ก่อนเนอะ ขออยู่คนเดียวก็อยู่ยากแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่อยากดึงใครเข้ามาร่วมด้วย เราไม่อยากเชื่อมโยงกับใคร แต่ว่าร่วมงานได้ คืออะไรที่ผ่านมาแล้วก็อยากให้ผ่านไปเลย ไม่อยากจะพูดถึงหรืออะไรอีก อยากให้ผ่านไป”

“จริงๆ การถ่ายรูปร่วมเฟรมมันน่าจะเป็นผลดีกับเรามั้ย จะได้เคลียร์ข่าวว่าเราไม่ได้เกาเหลากัน แต่คิดว่าจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้คิดว่าโอเคแล้ว ใจคิดยังไง กายก็ขอทำอย่างนั้นดีกว่า ก็ขอนิ่งๆ ดีกว่า อันไหนตอบได้ก็ตอบ ก็ไม่รู้จะมานั่งเบื่อทำไม”

เผยรู้สึกกับแย่ข่าวไม่สนใจการเรียน จนต้องเข้าเรียนปี 1 ใหม่

“ชีวิตคนเรามันก็ต้องสู้ มันก็มีบ้างที่เหนื่อย ก็เลยต้องให้กำลังใจตนเองให้ลุกขึ้นมาสู้ ยอมรับว่า ข่าวเรื่องเรียนมันกระทบกับจิตใจเรามาก ก็เลยเลือกไประบายในอินสตาแกรม เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรารู้สึกว่า แต่ไหนแต่ไรเราก็ได้รับคำชมจากพ่อแม่ว่าเราเป็นเด็กเอาถ่านนะ แล้ววันนึงคนที่ไม่รู้จักเรา เขามาพูดแบบนี้เราก็อยากชี้แจง แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น แต่ก็โอเคผ่านพ้นมาแล้ว ก็ได้กำลังใจจากแฟนคลับเยอะเลย ก็ขอบคุณมากๆ เราก็เป็นแค่คนๆ นึง”

“เราก็อยากให้ทุกคนเข้าใจเรามากที่สุด มีปัญหาเข้ามาเราก็ต้องแก้กันต่อไป แต่ว่าวันนึงที่เราล้มก็ยังมีคนกลุ่มนึงให้กำลังใจเรา ตรงนี้มันคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการเป็นนักแสดง ที่เรามีฐานแฟนคลับที่คอยให้กำลังใจเรา เวลาที่เราเหนื่อย”

เมื่อถามว่า คิดว่า การที่เราเป็นนางงามที่ออกตัวแรง จึงเลยทำให้คนมองเราในภาพลักษณ์แบบนั้นด้วยหรือไม่? เจ้าตัวบอกว่า…

“เราก็หวังว่า วันนึงคนจะเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น บางทีสิ่งที่เขาเห็น จิตใจเราก็ไม่ได้จะแรงขนาดนั้น ทุกคนมีหลายมุม ก็หวังว่า วันนึงคนจะเข้าใจและยอมรับ คือ รับได้กับสิ่งที่เราเป็นเหมือนที่รักพี่ๆ นักแสดงคนอื่นๆ แต่ก่อนนี้ยอมรับเสียน้ำตากับเรื่องพวกนี้เยอะมาก ตอนนี้ก็ลดลงเรื่อยๆ ก็ค่อยปรับตัวได้ บอกเลยว่าภาพพจน์อย่างเราตอนนี้ จะไปยืนร้องไห้ให้คนเห็น คนก็จะคิดว่าเราสร้างภาพ แต่ถามว่าจริงๆ เราเจ็บมั้ย เราเจ็บอยู่ลึกๆ นะ”

กับประเด็นที่ว่าช่วงนี้น้องใหม่ในวงการบันเทิง ต่างก็ยก “ปุ๊กลุก” เป็นไอดอล เจ้าตัวบอกดีใจ ส่วนที่ “กี้ รฐกร สถิรบุตร” รองอันดับ 2 มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี 2552 อยู่ๆ ก็ออกมาบอกว่า อยากเกิดมาเพื่อฆ่าปุ๊กลุกนั้น ตนก็ไม่คิดถือสาเช่นกัน

“ก็ต้องขอบคุณพวกเขานะ แต่ว่า ปุ๊กลุกคงไม่น่าจะอยู่ในจุดที่เขาจะอยากมาอะไรขนาดนั้น ก็ดีใจนะที่ยกเราเป็นไอดอล ถามว่ากลัวมั้ย ไม่กลัวว่าจะมีคนมาเกิดกว่าเรา เรายินดี ไม่ได้คิดอะไร เรามองว่าวงการเป็นครอบครัว ใครที่เข้ามาแล้วโอเค ก็เป็นพี่เป็นน้องกัน ก็ดีใจที่ได้เป็นแรงบันดาลใจอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้พวกเขา”

“ถามว่า กลัวจะมีคนมาแซงจนเรตติ้งตกมั้ย อันนี้ปุ๊กไม่ได้เรตติ้งสูงขนาดที่ใครจะเกทับได้ ส่วนมากก็อยากได้ใจจากพี่ๆ ชาวสีม่วงมากกว่า แค่นี้เราพอใจแล้ว อย่าเอากำลังใจของพี่ๆ ชาวสีม่วงไปจากปุ๊กก็พอแล้ว เพราะเราอยู่ได้ก็จากพี่กลุ่มนี้”

“อย่างกี้ที่เขาพูดอย่างนั้นว่าอยากเกิดมาเพื่อฆ่าปุ๊กลุก เอาจริงๆ เขากับเราอาจจะคนละแนว กี้เขาเล่นละครบู๊ซะส่วนใหญ่ ก็จะเป็นอีกแนวนึง ก็ฆ่าเถอะค่ะ ปุ๊กยังไม่ทันได้เกิดเลย ก็ฆ่าได้ ใครฆ่าได้มาเลย ไม่ได้รู้สึกว่าเขาอยากจะหยามหรืออะไร เรารู้สึกว่าเราเกิดมาสำหรับการต่อสู้เสมอ จะมีพี่ๆ ชาวสีม่วงชอบพูดว่าฉันจะฆ่าเธอ มาถ่ายรูปกับเธอมันเป็นอะไรขำๆ มากกว่า ไม่ซีเรียส”

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

“แทค” ขายยาบำรุงผู้ชาย ลองมาแล้วรับประกันฟิตปึ๋งปั๋ง

“แทค ภรัญญู” ทุบกระปุกขายยาบำรุงผู้ชาย บอกลองด้วยตัวเองมาแล้ว รับประกันว่า ฟิตปึ๋งปั๋ง เตรียมบุกตลาดญี่ปุ่น เพราะมีความต้องการทางเพศสูง

แอบซุ่มทำธุรกิจผลิตเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพสำหรับผู้ชาย ภายใต้แบรนด์ “HATTRIK” กับเพื่อนๆ สำหรับดาราหนุ่มคาสโนวา “แทค ภรัญญู โรจนวุฒิธรรม” งานนี้เจ้าตัวรับประกันความฟิตสามารถช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหากธุรกิจนี้ไปได้สวย เจ้าตัวแพลนจะไปบุกตลาดญี่ปุ่นซะด้วย

“ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผมเป็นหุ้นส่วนครับกับเพื่อนๆ ในวงการ และเพื่อนที่เชียงใหม่ ที่ตัดสินใจมาทำธุรกิจตัวนี้ เพราะว่าอย่างแรกเลย มันเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ผมเองก็รักสุขภาพอยู่แล้วและมันก็เป็นความคิดที่ดี ผมเลยมาเป็นหุ้นส่วนด้วย ผมเองก็จะดูแลในส่วนของพรีเซ็นเตอร์และประชาสัมพันธ์ใครรู้สึกเหนื่อยๆ ก็ลองดื่มได้”

“ผมเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ต้องลองเองอยู่แล้ว อะไรที่ผมลองผมก็จะรู้ว่ามันเป็นยังไง สรรพคุณอย่างแรก คือ มันมีใบแปะก๊วยช่วยสมองดี สอง มีโสมช่วยให้ร่างกายแข็งแรงดีมากขึ้น ผมเองใช้กำลังเยอะทุกวัน และก็ทำรายการคนอวดผีอีก กว่าจะเลิกงานก็ต้องสักขวดสองขวดครับ ส่วนสรรพคุณทางเพศนั้น โอ้ย (หัวเราะ) แน่นอนครับ ทั้งคืน ปึ๋งปั๋ง”

“สามารถดื่มได้ทุกวัน วันละขวด มันเหมือนยาช่วยบำรุงร่างกาย ซึ่งรับประกันครับสินค้าของผม ผ่านกระบวนการตรวจสอบ มี อย.เรียบร้อยแล้วครับ สามารถหาซื้อได้ในเซเว่น ตอนนี้เรากำลังบุกตลาดอยู่ กลุ่มลูกค้าเราส่วนใหญ่จะเน้นวัยรุ่นผู้ชายที่สนุกสนาน ทำงานสุดๆ ออกกำลังกายสุดๆ และก็ปาร์ตี้สุดๆ แต่มันไม่เหมือนกับที่ดื่มแล้วแก้แฮงค์นะครับ ของผมดีกว่าเยอะครับ”

“เรื่องตลาดตอนนี้เรากำลังค่อยๆ ก้าวครับ เสียงตอบรับก็ดีขึ้นครับ ซึ่งถ้าแพลนในอนาคตนั้น ถ้ามันดีเราอาจจะไปต่างประเทศ ตอนนี้เราก็ดูประเทศใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่น ซึ่งเขามีความต้องการทางเพศสูง เราก็ต้องบุกตลาดเขา เพราะเขามาบุกตลาดเราแล้ว เราต้องเอาคืนบ้าง (หัวเราะ) คาดว่า ถ้ามีโอกาสที่ดีผมก็อยากจะทำธุรกิจตัวนี้ต่อไปในระยะยาวเพราะมันช่วยบำรุงได้จริงครับ”

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

“ใบเตย” นางเริ่ดมาก! นุ่งสั้นเสมอลิง ร่วมงานทีวีพูล

แม้ว่าปีนี้ “ทีวีพูล” จะงดจัดงานประกาศรางวัล “Top Awards” ซึ่งจัดติดต่อกันเป็นประเพณีทุกปี เหลือไว้แต่ปาร์ตี้เหล่าคนดัง TV pool Star Party 2012 ที่รวมเอาการประกาศผลรางวัลมารวมด้วย เรียกว่าเป็นงานที่รวมดาราทั่วฟ้าเมืองไทยไว้ในงานเดียวกัน โดยได้จัดขึ้นที่ หอประชุมกองทัพเรือ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Prince and Princess" หรือ “เจ้าหญิง-เจ้าชายแห่งวงการ”

งานนี้เหล่าคนดังทั้งหลายก็เลยพร้อมใจกันแปลงร่างเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย บางคู่ก็แต่งตัวกันมายังกับเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาว เรียกว่า สวยหล่อกันทั้งงาน แต่ที่แซบขโมยซีนที่สุดเห็นจะเป็นสาว “ใบเตย อาร์สยาม” ที่มาในชุดราตรีสีขาวสั้นกุดเสมอลิง แถมยังเปิดเต้าปลิ้นดูมๆ กวาดสายตาคำนวณดูสัดส่วนที่ปิดมิดชิดกับที่โชว์นั้นพอๆ กัน เรียกว่า ดูแล้วอิ่มตาทั้งบนและล่าง ทำให้ค่ำคืนที่ผ่านมา ไม่ว่าสาวใบเตยจะเดินไปทางไหน ทำเอาบรรดาหนุ่มๆ ใจสั่นไปทั้งงาน เพราะเสียวว่าอะไรๆ มันจะโผล่ออกมาจ๊ะเอ๋แบบไม่ตั้งใจ ผิดกับนางเอกซุป'ตาร์ “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ที่ปกติมักจะเป็นไฮไลต์ของงานเสมอๆ แต่มาคราวนี้กลับมิดชิดแปลกตา แต่ก็สวยสง่าไปอีกแบบ ส่วนใครจะแจ่มเจิดแค่ไหนวันนี้เราประมวลภาพมาให้ดูแบบจัดเต็ม

ทั้งนี้ นอกจากไฮไลต์ของงานจะอยู่ที่สาวสวยๆ กับอกตู้มๆ แล้ว ที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ รางวัลที่มอบให้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เหล่าคนดัง ที่สำรวจคะแนนเสียงจากประชาชนมาตลอดทั้งปี โดยในปีนี้มีผู้ที่ได้รับเสียงโหวตจากสาขาต่างๆ ดังนี้

รางวัลร้ายสุดขั้ว!
เมย์ เฟื่องอารมย์

รางวัลขวัญใจเพศที่สาม
พอร์ช ศรัณย์ ศิริลักษณ์

รางวัลดาราผิวสวยแห่งปี
เกรซ กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า

รางวัลเพลงมาแรงแห่งปี
เพลง เสียใจแต่ไม่แคร์ - หวาย กามิกาเซ่

รางวัลดารายิ้มสวยมีเสน่ห์ดึงดูดใจ
มาริโอ้ เมาเร่อ

รางวัลดารามนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม
ป๋อ ณัฐวุฒิ สะกิดใจ

รางวัลเซ็กซี่สตาร์
พลอย เฌอมาลย์ บุญศักดิ์

รางวัลสาวรูปร่างดี
ศรีริต้า เจนเซ่น

รางวัลขวัญใจคอเพลง
ดา เอ็นโดรฟิน

รางวัลขวัญใจวัยทีน
เก้า จิรายุ ละอองมณี

รางวัลคู่รักแห่งปี
วุ้นเส้น-ชาคริต

รางวัลครอบครัวสุขสันต์
ครอบครัวฉัตรบริรักษ์ (บอย ปกรณ์)

รางวัลดาราแต่งกายดีแห่งปี
แอน ทองประสม

รางวัลขวัญใจคอหนัง ปี 2555
เต๋อ ฉันทวิทย์ ธนะเสวี

รางวัลขวัญใจคอละคร ปี 2555
อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ

รางวัลหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ปี 2555
ณเดชน์ คูกิมิยะ

รางวัลสาวเจ้าเสน่ห์ ปี 2555
ญาญ่า อุรัสยา สเปอร์บันด์

รางวัลขวัญใจมหาชน
เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

บันทึกส่วนตัว:เมื่อข้าพเจ้า ฝันเห็นพระพุทธเจ้า และบางอย่างที่ท่านทรงบอก











ก่อนอื่นผมขอเล่านิดนึงครับ


เมื่อตอนเด็กๆ ตอนนั้นอายุประมาณ 9-11 ขวบ ผมเป็นคนที่ชอบ นั่งสมาธิ เพราะบ้านอยู่ใกล้วัด








**ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ผมไม่ได้บอกให้คุณเชื่อ.. ในสิ่งที่ผมประสบมา
ทุอย่างที่ผมเล่า คือเรื่องจริงที่ผม
ประสบมา
และให้คิดเสียเป็นเรื่องราว นิยายสนุกๆ


ช่วงเย็นๆบางวันผมมักไปนั้งสมาธิ ในโบสถ์กับตาหลวง

ซึ่งตอนนั้นเพื่อนๆหลายคนหาว่าผมเป็นบ้า

แต่ผลการเรียนผม อยู่ 3.9 ถึง 4.00 ตั่งแต่ป.1-ถึงป.5 ลำดับที่1 ของห้องทุกปี

ตอน 11 ขวบ ผมเคยไปนั้งสมาธิ ใต้ต้นไม้ในโรงเรียนช่วงพักเที่ยง





จากสายตาของคนอื่นๆ อาจมองว่าผมเพี้ยน 


จึงมีรุ่นพี่คนหนึ่ง ปาก้อนดินใส่ผม จนหัวโน

ตั้งแต่นั้น มาผมก็เลยไม่ค่อยได้นั้งสมาธิอีก



ตอนประมาณ 12ปี โดยประมาณ




ผมฝันว่า ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ประมาณ 6 โมง อากาศแจ่มใส

ผมเดินไปยังสะพานข้ามคลองข้างบ้าน ขณะยืนอยู่บนสะพาน 





ผมมองไปตามถนน เห็นพระกำลังเดินบิณฑบาต มองคนกำลังใส่บาต 















สะพานจริง ในฝัน ผมยื่นอยู่ด้านขวา แต่จริงๆ พระเดินบิณฑบาต เดินสวนทางกับในฝัน
ภาพนี้ผมถ่ายไว้ตั่งแต่ปี 2550 
ตอนนี้พระในรูปมรณะภาพแล้ว 


















จู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าตรงที่ผมยืนอยู่ ช่วงดวงอาทิตย์ประมาณสิบนาฬิกา ซึ่งผมยื่นหันหลังอยู่ ชาวบ้านและพระ หันไปมอง และแสงนั้นก็จางลงที่ละนิด






ชาวบ้านบอกว่านั้นพระพุทธเจ้านิ
ผมหันหลังกลับไปมอง เห็นพระพุทธเจ้ากำลังนั้งสมาธิ แล้วท่านตรัสว่า




"อีกไม่นาน ก็จะถือกำเนิดศาสดา องค์ใหม่ของโลก"



ผมหันกลับไปมอง เห็นพระและชาวบ้าน นั่งพับเพียบและพนมมืออยุ่ตรงหน้าผม

ผมยื่นอยู่ด้วยความมึนงง และก็เดินกลับบ้าน









(ขยายความ: ซึ่งพระและชาวบ้านที่นั้งพนมมือยู่นั้น แท้จริงแล้วกำลังกราบไหว้ พระพุทธองค์ที่กำลังปรากฎอยู่ทางด้านหลังผม ซึ่งผมยื่นกั้นกลางอยู่ ที่ผมยืนงงอยู่นั้นเพราะความตกใจที่เห็นพระและชาวบ้านมานั่งอยุ่ตรงหน้าซึ่ง ก่อนหน้ายังเห็นยืนบิณฑบาตอยู่ตรงโน้น 


และเห็นใบหน้าชาวบ้านซึ่งเป็นผู้หญิงชราและพระสงฆ์ เปี่ยมไปด้วยความสุข )










นั้นคือความฝัน ที่ผมเคยฝันตอนเด็กๆครับ ผมเก็บความฝันนี้ไว้เป็นสิบปี ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยไม่รู้ว่าทำไม เพิ่งเล่าให้คนอืนฟั่ง เมื่อ 1-2  ปีก่อนนี้









และอีกหนึ่งเหตุการณ์หลังจากที่ผมฝันเห็นพระพุทธเจ้า อันนี้เรื่องจริงครับไม่ใช่ความฝัน

ตอนนั้น อายุประมาณ 12




ตอนช่วงเย็นๆเกือบอาทิตย์ตก ผมเดินมาจากสวนตรงไร่นา เพื่อจะกลับบ้าน 




ผมมองไปบริเวณที่เป็นวัดที่อยู่ข้างหน้าประมาณ 1กม. 


ผมเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ 3 ต้น ใหญ่มากเหมือนกับต้นไม้โบราณ 


ซึ่งตอนนั้น ต้นไม้ขนาดใหญ่มีอยู่จริงเพียงต้นเดียวในวัดคือต้นประดู่















อันนี้คือภาพ บริเวณวัดใกล้ๆกับที่ผมเห็น และต้นประดู่ตายไปหลายปีก่อน ภาพนี้ถ่ายเมื่อปีที่แล้ว 2554 










ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากที่ผมเดินอยู่ แต่ผมกลับมองไม่เห็น กลับเห็นต้นไม้ 3 ต้นที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ผมเดินไปจองไปด้วยความแปลกใจและไม่ตาฝาดอย่างแน่นอน ในใจคิดว่าผมต้องไปดูให้ถึงที่ว่ามันคือต้นอะไร 




























อันนี้คือภาพ ที่ใส่ต้นไม้ขนาดใหญ่ อาจจะไม่ใกล้เคียงกับที่ผมเห็น แต่คล้ายๆเพราะนานมากแล้ว...




















แต่ทันทีที่ผมละสายตาจากต้นไม้นั้น ผมเดินไปถึงบ้านจนลืมเรื่อง ที่จะไปดูต้นไม้ในวัดที่อยู่ตรงเยื้องกับบ้านผม โดยสิ้นเชิ้ง กว่าที่ผมจะนึกขึ้นได้ว่าจะต้องไปดูต้นไม้นั้น เห็นการณ์นั้นก็ผ่านไปแล้ว 3 วัน 





ผมเล่าเรื่องนี้ให้กับพ่อและแม่ฟัง เมื่อ 2-3 ปี นี้เอง ท่านบอกว่าต้นไม้นี้มีอยู่จริงในวัด และบริเวรรอบๆ 


เมื่อก่อน    ผมถึงกับอึ้งเลย...