“ปอนด์” น้ำตาแตก ยกมือไหว้ขอโทษคนไทยที่ทำให้เสื่อมเสีย วอนต่างชาติอย่าเหมารวม คนไทยไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน แจงตนทำไปเพราะความจำเป็น ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ยืนยันถ้ารู้ว่าให้ถอดหมด จ้างเป็นล้านก็ไม่ทำ เจ้าตัวเชื่อโชว์ในวันนั้น มีการเตี้ยมกัน ก่อนรับตกใจที่ตนเข้ารอบ ทั้งที่วาดไปมั่วๆ ด้าน เวิร์คพอยท์ รีบออกโรงขอให้จบเพียงเท่านี้
หลังพิธีกรชื่อดัง “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” เป็นคนแรกที่คว้าตัว “ปอนด์ ดวงใจ จันทร์เสือน้อย” สาววัย 23 ปี หนึ่งในผู้เข้าประกวดรายการ “ไทยแลนด์ ก็อตทาเลนต์” ผู้อื้อฉาว ที่เปลือยอกวาดภาพออกรายการ จนโดนสังคมรุมจวก มาเปิดใจในรายการ “มิราเคิล ออฟไลฟ์” ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ซึ่งเทปดังกล่าวออกอากาศไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ “ณวัฒน์” ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ปอนด์ถึงที่บ้านเกิด จ.แพร่ ซึ่งนอกจากครั้งนี้จะเป็นการเปิดใจครั้งแรกแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ปอนด์ได้กลับมาเยี่ยมบ้านตั้งแต่มีข่าวคราวเกิดขึ้น ตลอดการสัมภาษณ์ ทำให้มีบางช่วงบางตอนที่เจ้าตัวถึงกับน้ำตาแตกเลยทีเดียว
โดยปอนด์ได้เปิดฉากเผยว่า เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับการติดต่อจากคนชื่อ “บอย” ให้ไปแข่งในรายการดังกล่าว ด้วยเงิน 1 หมื่นบาท โดยบอยเป็นคนขับรถเก๋งมารับถึงที่ และมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง จากเดิมที่ให้ใส่เสื้อชั้นใน เปลี่ยนเป็นเปลือยท่อนบนทั้งหมด เพื่อจะได้เป็นกระแสเรียกเรตติ้งให้กับรายการ
ซึ่ง ปอนด์ บอกว่า ตนลำบากใจมาก แต่ก็ต้องทนทำตามที่นายหน้าบอก เพราะไม่มีทางเลือก เนื่องจากขณะนั้นสามีตนกำลังตกงาน ลูกก็ไม่มีนมกิน และต้องหาเงินไปดูแลพ่อที่เป็นอัมพาตมากว่า 11 ปี แต่ถ้าไม่ทำก็กลัวไม่ได้เงิน เพราะนายหน้าคนดังกล่าวยื่นเงื่อนไข จะจ่ายเงินหลังจบโชว์เท่านั้น
พร้อมกันนี้ ปอนด์ ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันตนประกอบอาชีพโคโยตี้ และไม่เคยร่ำเรียนศิลปะ ภาพที่เขียนออกไปนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นภาพอะไร เพราะอยากทำให้เสร็จๆ ไป จึงวาดไปมั่วๆ แต่กลับได้เข้ารอบ ทำให้รู้สึกตกใจมาก อย่างไรก็ดี ปอนด์ ยืนยันว่า ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าให้ถอดหมด ตนคงไม่รับงานนี้อย่างแน่นอน
“ความจริงวันนั้น ก่อนที่จะเอาน้อง (ลูกสาววัย 6 เดือน) กลับมาบ้าน ตอนเดือนมีนาฯ ก็มีพี่คนนึงมาติดต่อบอกว่าไปมั้ย ไปออกรายการเขาให้เงินนะ ก็แค่ไป ไม่ต้องถอดอะไร แค่ใส่เสื้อชั้นใน แล้วปลดกระดุมนิดนึงเท่านั้นเอง แล้วให้ 1 หมื่น ก็เลยโอเค แล้วพอถึงวันนัดกัน พี่คนที่เขาติดต่อมา เขาก็เอารถมารับเองตั้งแต่ตี 4 ก็ไปถ่ายทำที่โรงละครอักษรา วันนั้นไปถึงก็สักประมาณตี 5 หน่อยๆ ไปถึงก็ไปนั่งรอ เพราะเขากำลังเตรียมงานอยู่ 7 โมงเช้า ถึงจะได้ขึ้นไป แต่การแสดงของหนูจริงๆ ได้เริ่มตอน 6 โมงเย็น เราก็ต้องอดทนรอเพราะเงิน”
“ตอนแรกเขาไม่ได้บอกอะไร แต่พอไปถึงก็เริ่มรู้ว่ามันจะเป็นแบบไหน พอเข้าไปถึงเขาก็บอกให้ไปกรอกใบสมัคร คนก็เยอะ เราก็รอเข้ารับสมัคร แต่ของเราพี่เขาเอามาให้ไว้อยู่แล้ว เราก็กรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ก่อนที่จะไปก็มีการซ้อมโชว์ที่เราจะไปแสดงอยู่ค่ะ พี่คนที่มาจ้างเขาบอกว่าตอนซ้อมก็ปกตินะ แต่พอตอนเล่นจริงก็ถอดนะ เราก็บอกอ้าว ตอนแรกไหนบอกไม่ถอด เขาก็บอกเออนะ นิดๆ หน่อยๆ เขาบอกแป๊บเดียว มันจะได้หวือหวา รายการเขาจะได้หวือหวา เราจะได้ผ่านเข้ารอบ เขาก็บอกว่า ถ้าเราผ่านเข้ารอบจะได้เงินรางวัล 10 ล้าน”
แล้วทีมงานเขาว่าไงบ้าง?
“เราไม่ได้ไปยุ่งกับทีมงาน”
เขาสนับสนุนให้เราถอดด้วยมั้ย?
“ก็มีพี่คนนี้คนเดียวที่มาคุยกับเรา คนที่พาเรามาจากที่บ้าน นอกนั้นก็ไม่ได้คุยกับใคร ที่ตัดสินใจถอด ตอนแรกก็ใส่เสื้อ ทาคอ เอาสีลง แป๊บเดียวเองก็หันมาแล้วก็หันกลับ จบตอนไหน ก็คือ ตอนนั้น ก็แป๊บเดียว ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รับเงิน ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ก็กลัวจะไม่ได้ กลัวจะมาเสียเปล่าก็เลยทำ วันนั้นก็มีคนมาดูเยอะพอสมควร เห็นแบบนั้นก็มีสั่น เราก็ก้มหน้าก้มตารีบทำ แป๊บเดียวก็เสร็จล้างเนื้อล้างตัว รับเงินแล้วก็กลับเลย ก็คิดแค่นี้”
“แต่ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะมีผลต่อเนื่องมาในวันนี้ พี่เขาก็บอกว่าไม่ต้องห่วง ทางรายการเขาเซ็นเซอร์อย่างดี หลังรายการออกไปเพื่อนก็โทร.ถามกันใหญ่เลยว่าทำไม ใช่เรารึเปล่า เราก็บอกว่าใช่ เขาบอกเฮ้ยทำไม...มันแรงมากเลยรู้มั้ย เราก็อธิบายให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็เข้าใจ เขาก็บอกว่าไม่ต้องไปดูนะ รู้มั้ยในยูทิวบ์เขาด่าเสียๆ หายๆ เยอะ เพื่อนก็ให้กำลังใจบอกว่าไม่เป็นอะไร”
อย่าง “อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” หรือหลายคนออกมาพูดว่ามันไม่เป็นศิลปะ ขนาดจับพู่กันยังไม่เป็นเลย จริงๆ แล้วปอนด์มีความรู้ด้านนี้มั้ย?
“ไม่ค่ะ “
วันนั้นตั้งใจวาดเป็นตัวอะไร?
“ไม่ได้มองค่ะ ขึ้นไปถึงก็รีบถูๆ วาดๆ ให้เสร็จไป ไม่ได้มองว่าเป็นรูปอะไร”
คือวันนั้นไปไม่ได้มีรูปในจินตนาการไปเลย เป็นเพียงแค่มาแสดงโชว์ไม่ได้ตั้งใจจะไปวาดรูปอะไรทั้งสิ้น?
“ค่ะ”
แต่ดันผ่านเข้ารอบ ตอนนั้นตกใจมั้ย?
“ตกใจค่ะ ตอนแรกคิดว่ายังไงก็ไม่ผ่าน พอออกไปดูแล้ว ก็คิดว่ายังไงกรรมการก็คงไม่ให้ผ่าน แต่พอมันผ่านเราก็ตกใจมาก เราไม่ได้คิดอะไรต่อไว้ พอคลุมผ้าได้ เขาถามอะไรมาก็ตอบๆ ไป เพื่อที่จะได้เข้าไปข้างในเร็วๆ ไม่ทันได้มองอะไรด้วยซ้ำ พอเขาถามอะไรมาก็มองตอบ ก็เราไม่กล้ามอง ไม่กล้าสบตาใคร คิดว่าพอเขาถามอะไรมา เราก็รีบตอบให้มันจบๆ จะได้เข้าไปข้างใน ล้างเนื้อล้างตัวแล้วกลับ พอรับเงินเสร็จ เขาให้รถมาส่งที่บ้าน แต่พี่คนนั้นแยกย้ายกลับไปแล้ว”
คนจะมองว่าการแสดงชุดนั้นเป็นการเตี้ยมมาทั้งหมด ถ้ามองในมุมของปอนด์การแสดงในวันนั้นถือว่าเตี้ยมมั้ย?
“เตี้ยมค่ะ”
หลังจากที่มีข่าวออกไปมากมายทำไมถึงเลือกที่จะหนีหายไป?
“ก็ถ้าเกิดมีคนมาเจอก็ต้องมาถามซักไซ้ มันเยอะไป เราอยู่ลำบาก ไหนจะไปทำงาน ถ้าเกิดเขาตามไปที่ทำงานอย่างนั้นอย่างนี้ มันวุ่นวาย ชีวิตหนูเหมือนจะพังเลย แต่ตอนนี้ก็ตั้งสติได้แล้ว”
“ตอนนั้นสภาพจิตใจแย่ค่ะ ไปไหนก็มีไม่ได้ลำบาก เครียดค่ะ ต้องกินยาตลอดเวลา มีบ้างที่ต้องไปโรงพยาบาล เพราะเครียดเยอะ ไปนอนพักที่โรงพยาบาลแต่หนูขอกลับไปนอนที่ห้องดีกว่า หมอบอกว่า เป็นภาวะหายใจเกิน ตอนนี้ถ้าเกิดยังเครียดอยู่แบบนี้ อาจจะกลายเป็นโรคจิต หรือโรคประสาท ต้องรับการบำบัดค่ะ มีบ้างที่มีอาการกลัว บางทีไปก็มีคนมอง เขาก็นินทาแต่หนูก็พยายามไม่สนใจ”
“วันที่ออกรายการตอนแรกหนูยังไม่ทราบ เพราะว่าทำงาน แต่เพื่อนโทร.มา แม่ก็โทร.มาถามกันว่าใช่เรามั้ย ทำไมทำแบบนี้ แต่ตอนนั้นหนูไม่ได้อธิบายให้ฟังเพราะยังทำงานอยู่ แม่ก็เครียดเพราะอายเขา ทำไมทำแบบนี้ หนูก็ไม่สบายใจทำงานไม่ได้ หลังจากที่มีข่าวออกไปชีวิตเปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ไม่กล้าเจอผู้คน”
1 หมื่นกับการแสดงในวันนั้นคิดว่าคุ้มมั้ย?
“ไม่ค่ะ”
ถ้าสมมติข้อตกลงตั้งแต่แรกบอกว่าถอดหมดจะไปมั้ย?
“ไม่ค่ะ”
คิดว่าถ้าจำเป็นต้องถอดหมด คิดว่าค่าตัวของเราน่าจะเป็นสักเท่าไหร่?
“ถ้าจริงๆ รู้ว่าต้องถอดหมด หนูยอมไม่เอาดีกว่า จะบอกเลย”
เป็นแสนเป็นล้านก็ไม่รับ?
“ไม่ค่ะ”
พร้อมกันนี้ “ปอนด์” ยังได้เผยถึงชีวิตที่โตมากับครอบครัวที่ต้องปากกัดตีนถีบ ทำให้ชีวิตผันผวน กระทั่งต้องมาตกเป็นเป้าให้สังคมโจมตี เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่เกิดจากความจำเป็นของตนเอง
“ตอนเด็กๆ ชีวิตไม่ถึงกับลำบากมาก แต่ตั้งแต่พ่อรถมอเตอร์ไซค์คว่ำเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว กลายเป็นอัมพาตชีวิตเราก็เปลี่ยนหมด (ร้องไห้) เมื่อก่อนพ่อเป็นภารโรง และเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงด้วย ตอนแรกที่พ่อป่วยก็แย่ค่ะ เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ขยับหัวไปมาได้อย่างเดียว หลังออกจากโรงพยาบาลแม่เป็นคนทำกายภาพบำบัด แต่ก็ไม่เป็นผลตอนนี้ก็ยังแย่อยู่ พ่อยังต้องไปโรงพยาบาลทุกเดือน เพราะต้องไปเปลี่ยนสายฉี่ เพราะฉี่และอุจจาระด้วยตัวเองไม่ได้”
“พอพ่อป่วยชีวิตก็ลำบากขึ้น เพราะไม่มีใครหาเงิน แม่ก็ต้องไปรับจ้างทำนา ตัดหญ้า ทำความสะอาดบ้าน บางวันก็ได้ 100-150 บาท ส่วนหนูก็ไปรับจ้างร้องเพลงร้านอาหาร หนูชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก รายได้วันละ 60 บาท ถ้าได้พวงมาลัยเขาก็ให้พวงละ 10 บาท มากสุดก็ 4-5 พวง ตอนนั้นหนูอยู่ ม.1 ต้องไปร้องเพลงทุกวันเพราะเอาเงินไปโรงเรียน ค่ารายงาน ค่ารถ ค่ารักษาพ่อเดือนละ 4-5 พัน”
“พอถึง ม.5 หนูก็หยุดเรียน แล้วก็มาทำงานกรุงเทพฯ ตอนแรกกลัวจะอยู่ไม่ได้ พอไปก็ไปพักกับญาติ แล้วก็ไปสมัครงานขายของในโลตัส ตอนนั้นเงินเดือน 7 พันกว่า ถ้าขยันทำโอก็ได้ ส่งให้ที่บ้าน 2-3 พัน แล้วก็ไปทำงานที่เซเว่น แต่ทำได้ 2 อาทิตย์ แล้วก็กลับบ้าน ตอนนั้นหนูไม่รู้จะทำอะไร แล้วเพื่อนหนูก็แนะนำให้รู้จักกับพี่ที่ทำโคโยตี้เพราะเห็นหนูทำงานร้องเพลงทำงานกลางคืน เขาก็ถามว่าลองมั้ย ได้เงินเยอะนะ เขาบอกว่าได้วันละ 500 ความรู้สึกหนูคือมันได้เยอะ หนูก็กลัวเขาหลอกหนูเลยไม่กล้าไป”
“แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำ ที่แรกหนูไปทำที่จังหวัดเลยก่อน อาชีพนี้มันก็เสี่ยง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะรักษาตัวเราด้วย ตอนนี้หนูมีครอบครัว มีสามี มีลูกแล้ว ชื่อน้องกระต่าย อายุ 6 เดือนกว่า ตอนตั้งท้อง 9 เดือนลำบากเพราะไม่ได้ทำงานเลย ทางบ้านก็ลำบากเพราะหนูส่งเงินมาน้อย บางเดือนก็ไม่ได้ส่งเลย เพราะแฟนก็งานคนเดียว”
ต่อคำถามที่ว่า คิดว่าชีวิตจากนี้จะเดินทางต่อไปในอนาคตยังไงดี? เจ้าตัวก็เผยว่า...
“ก็คงทำงานปกติแหละค่ะ ถ้าเก็บเงินได้ก็อยากเปิดร้านอะไรสักอย่างที่บ้าน”
ถ้าให้เลือกขอได้ จะขออะไรจากใครบ้าง กับคนที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้?
“ก็อยากให้เรื่องมันจบ อย่าขุดคุ้ยหนูอีกเลย แค่นี้มันก็ลำบากพอแล้ว”
ให้ปอนด์พูดอะไรกับคนไทยที่ติดตามข่าวนี้ หรือว่ามีอะไรอยากจะขอโทษมั้ย?
“(ไหว้) หนูต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ก็ขอให้การกระทำครั้งนี้ของหนูเป็นอุทาหรณ์ ฐานะทางบ้านของหนูยากจน หนูถึงมีความจำเป็น และจำใจที่จะต้องทำเพื่อครอบครัวที่บ้าน”
รายการนี้เป็นรายการที่คนต่างประเทศได้ดูด้วย อยากจะบอกอะไรกับชาวต่างประเทศที่ได้ดูรายการมั้ย อาจจะให้คนไทยได้อธิบายให้คนต่างชาติได้ฟัง?
“อยากบอกคนไทยที่อยู่เมืองนอก ช่วยอธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่ใช่คนไทยทุกคนที่เป็น เพราะว่าหนูจำเป็น เพราะว่าเงินต้องเอามาเลี้ยงครอบครัว ก็ไม่ได้คิดอะไร ต้องทำให้คนไทยต้องมาเสียหายไปด้วย หนูก็ขอโทษด้วยค่ะ (ยกมือไหว้)”
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของ บริษัท เวิร์คพอยท์ ได้เผยว่า ได้ดูรายการแล้ว รู้สึกว่า น้องปอนด์ พูดชัดเจนว่า ทีมงาน เวิร์คพอยท์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่มีเอเยนต์คนกลางเป็นผู้พาน้องปอนด์เข้ามาแข่งในรายการ ซึ่งก่อนขึ้นเวทีน้องปอนด์เองก็บอกชัดเจนว่า ไม่ได้เจอกับผู้ที่เป็นทีมงานจากเวิร์คพอยท์เลย
ทั้งนี้ ประชาสัมพันธ์เวิร์คพอยท์ ยังได้กล่าวต่ออีกว่า โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าน้องปอนด์คงต้องการพูดแค่ในส่วนของเขา ไม่อยากพาดพิงใคร อยากจะมีชีวิตที่สงบ และไม่อยากให้ใครขุดคุ้ยเรื่องนี้อีกแล้ว ด้านทางทีมงานก็ไม่ได้ติดใจเรื่องอะไร ซึ่งหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทางทีมงานเวิร์คพอยท์ก็ไม่ได้ติดต่อไปทางน้องปอนด์อีก เพราะทราบมาว่าทางนั้นก็มีมูลนิธิต่างๆ ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่แล้ว และทางบริษัทก็รู้สึกยินดีมากๆ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทเองก็ได้รับผิดชอบในด้านต่างๆ ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และคิดว่าเรื่องนี้น่าจะจบลงเพียงเท่านี้
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น