วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

โรงเรียนผีสิง


ก่อนที่อาคารจะถูกรื้อทิ้งไม่นานนัก ป้าจำได้ว่ามีฝรั่งกลุ่มหนึ่งมาทำการพิสูจน์ในอาคารหลังนั้น เขามีทั้งเทปบันทึกเสียงและกล้องถ่ายรูปพร้อมด้วยอุปกรณ์อื่นๆ เข้าไปซุ่มอยู่ในห้องภายในอาคารหลังนั้นตอนกลางคืน
ในคืนที่สองนั่นเองฝรั่งนักพิสูจน์ก็เจอดีเข้าจนได้ ยังไม่ดึกเท่าไหร่พวกเขาก็ต้องวิ่งลนลานออกมาจากอาคารพร้อมกับเลือดไหลอาบหน้าบ้างก็หัวปูดหัวโนไปตามๆกัน เพราะจู่ๆ ก็มีก้อนหินเท่ากำปั้นขว้างเข้าใส่และขว้างมาจากทุกด้านนับร้อยๆก้อน เพราะความมืดไม่รู้จะหลบได้อย่างไรก็เลยต้องเผ่นทิ้งเครื่องมือไว้
ผมคิดว่า ฝรั่งนักพิสูจน์ที่คุณป้าเล่าให้ฟังนั้นคงได้รู้แล้วว่าผีไทยกับผีฝรั่งมันน่ากลัวต่างกันนัก ถึงแม้พวกฝรั่งจะไม่ได้ทั้งภาพและเสียงอย่างที่ตั้งใจ แต่รอยแผลและเลือดบนหัวของพวกเขาก็คงพอเพียงสำหรับเหตุผลที่จะเรียกโรงเรียนนั้นว่า “โรงเรียนผีสิง” ได้กระมัง

นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่เกี่ยวกับโรงเรียนนี้ที่คุณป้าเล่าให้ฟังอีก นั่นคือโรงเรียนหลังนี้คุณป้าเล่าว่าเป็นอาคารเรียนที่ตั้งขนานกับถนนอยู่ตรงข้ามกับบ้านคุณป้า ตัวอาคารยกสูงจากพื้นพอให้เดินผ่านใต้ถุนได้ หน้าต่างด้านหลังบางบานเปิดทิ้งไว้ เพราะถูกปล่อยให้เป็นอาคารร้าง ภายในห้องมืดมิดชวนให้ขนลุกทุกครั้งที่มองเข้าไป คนเก่าคนแก่เล่ากันว่าไม้ที่ใช้สร้างอาคารนั้นรื้อมาจากเรื่อนจำเก่าซึ่งใช้จองจำนักโทษประหารหลายราย จึงทำให้เกิดเรื่องราวที่สร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนมากมาย เช่นบางเรื่องต่อไปนี้
ครั้งหนึ่งเมื่อยังใช้อาคารหลังนั้นเป็นที่เรียนหนังสือ พอไขกุญแจประตูเพื่อให้เด็กนักเรียนชั้นประถมเข้าไปจัดโต๊ะเก้าอี้และอุปกรณ์การเรียนเหมือนเช่นทุกวัน แต่ทันทีที่ประตูเปิดกลิ่นคาวเลือดก็ฟุ้งกระจายจนแทบอาเจียน เมื่อครูและชาวบ้านเข้าไปตรวจต่างก็ตะลึงกับกองเลือดสดๆใหม่ๆ ตามโต๊ะตามเก้าอี้ทุกตัวเต็มไปด้วยเลือด และเมื่อตรวจต่อไปยังห้องอื่นก็ต้องหวาดผวาไปตามกันเพราะทุกห้องล้วนเต็มไปด้วยเลือดประมาณว่าถ้าเป็นเลือดจากวัวหรือควายคงไม่ต่ำกว่าสามตัวแน่ (เลือดนี้มาจากไหน?) นั่นเป็นปริศนาให้ผู้คนวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

เรื่องเก่าผ่านไปไม่นานวันนักเรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นอีก
มาคราวนี้โต๊ะเก้าอี้ในทุกห้องของอาคารถูกเก็บมารวมกันไว้ในห้องเดียวตั้งซ้อนต่อๆ กันจนถึงหลังคา ไม่น่าเชื่อว่ามันถูกนำมารวมในห้องเดียวได้อย่างไร ในเมื่อประตูห้องก็ยังล็อกไว้แน่นหนา ผนังกั้นห้องก็อยู่ในสภาพเดิม ถ้าขนย้ายทางหน้าต่างก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวอาคารสูงจากพื้นมาก

ต่อมาเด็กนักเรียนก็โดนผีหลอกทั้งกลางวันแสกๆ และมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ จนในที่สุดอาคารหลังนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งให้เป็นอาคารร้าง ในช่วงที่ยังไม่มีกำหนดรื้อถอน อาคารร้างนั้นยิ่งดูน่ากลัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะมีเรื่องเขย่าขวัญให้ชาวบ้านในละแวกนั้นต้องอกสั่นขวัญหายกันอยู่เรื่อยๆ เช่น บางคืนที่เงียบสงัดก็มีเสียงโอดโอยโหยหวนดังมาจากภายในอาคารหลังนั้น เสียงนั้นเหมือนได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

และแล้ววันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นกับป้าของผมเอง ตอนนั้นป้าอายุประมาณ 9-10 ขวบ เย็นวันนั้นพอเสร็จธุระที่บ้านญาติ ป้าจำเป็นต้องเดินกลับโดยผ่านสนามหญ้าหน้าโรงเรียนและเดินลอดใต้ถุนอาคารที่น่ากลัวหลังนั้น แต่ป้ายังอุ่นใจนิดหนึ่งเพราะยังมีน้องชายคนเล็กอายุ 3 ขวบ ขี่หลังเป็นเพื่อนไปด้วย ตะวันสีแดงยังส่องพอให้เห็นทางแต่ก็ใกล้มืดเต็มทีแล้ว เมื่อพาน้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เดินลอดใต้ถุนอาคารหลังนั้นก็สะดุ้งสุดตัวกลัวจนแทบร้องไห้ เพราะมีเสียงวิ่งอยู่บนอาคารดังตึงๆๆ เริ่มตั้งแต่ห้องแรกตามความยาวของอาคารจนมาหยุดตรงหัวป้าซึ่งกำลังโผล่พ้นใต้ถุนพอดี ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดทำให้แหงนหน้าขึ้นไปมองช่องหน้าต่างข้างบน และป้าก็ถึงกับเข่าอ่อนแทบช็อคอยู่ตรงนั้น เจ้าสิ่งนั้นโผล่หน้าต่างออกมาแสยะยิ้มจนเห็นฟันขาวซีด และเป็นใบหน้าที่ไม่เหมือนมนุษย์หรือสัตว์ใดๆ ที่ป้าเคยเห็น ใบหูที่กระพืออยู่นั้นใหญ่พอๆ กับหน้าของมัน มันมองและยิ้มให้ป้า พอป้าตั้งสติได้ก็พาน้องวิ่งและร้องเสียงหลงมาตลอดทางจนถึงบ้านป้าก็สิ้นสติไปทันที เมื่อฟื้นขึ้นมาป้าก็มีอาการไข้ขึ้นสูง พ่อ-แม่และอีกหลายคนช่วยกันปลอบขวัญแต่ใบหน้าอันแสนจะน่ากลัวยังเป็นภาพหลอนตลอดเวลานานเป็นเดือน จนเมื่ออาการดีขึ้นภาพหลอนก็ค่อยๆเลือนไป แต่ไม่ได้หายไปจากความทรงจำจนทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น