วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ศาลาเมรุ

เมื่อผมอายุ 25 ปี ได้บวชพระที่วัดต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีข่าวว่าผีดุเหมือนกับวัดทั่วไปในชนบท ผมและเพื่อนซึ่งบวชอยู่ด้วยกันเป็นคนกรุงเทพฯ จึงไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ วัดที่ผมอยู่มีต้นไม้ใหญ่อยู่มากมายและศาลาเมรุก็อยู่ติดกับป่าช้าซึ่งถ้าเป็นเวลากลางคืนก็จะดูวังเวงน่ากลัว ช่วงตอนที่ผมบวชใหม่ๆ นั้นมีงานศพประจำ เวลามองจากห้องไปที่ศาลาเมรุก็เลยไม่น่ากลัวนัก ยิ่งทำให้เราไม่เชื่อเรื่องผีดุ โดยเฉพาะตอนหัวค่ำหลังจากสรงน้ำเสร็จแล้วนั้น พวกเราก็จะจับกลุ่มคุยกันเรื่องผี โดยเฉพาะเพื่อนที่เป็นคนท้องถิ่นอยู่แล้ว ได้เล่าเรื่องพระที่บวชอยู่โดนหลอกต่างๆ นานา ผมกับเพื่อนฟังด้วยความขบขันเพราะเห็นเป็นเรื่องโม้เสียมากกว่า



ต่อมาเมื่องานศพไม่ค่อยมี ที่ศาลาเมรุก็ไม่มีคนใช้ไฟในศาลาเมรุจึงมืดและดูวังเวงแต่ก็มีเหตุประหลาดขึ้นเมื่อมีผู้เปิดไฟในศาลาเมรุโดยที่ไม่มีงานศพ หลวงตาก็ใช้ให้เณรไปดับ วันรุ่งขึ้นเณรเล่าว่าตอนที่ไปดับไฟในศาลาเมรุนั้น พอมือสัมผัสสวิตซ์ไฟก็เหมือนกับมีมือมาจับไว้ ผมกับเพื่อนก็พากันหัวเราะ พอตกกลางคืนไฟที่ศาลาเมรุก็สว่างขึ้นอีก พวกเณรก็ต้องไปดับอีก ทีนี้ยกพวกกันไปเป็นโขยง พวกเราก็นึกขำ พอเณรดับไฟที่ศาลาเมรุแล้วก็พากันวิ่งอ้าวหน้าตาตื่นกลับมา ผมกับพวกสอบถามจึงรู้ว่าพอเณรดับไฟก็ได้กลิ่นซากศพเหม็นอย่างแรง ทำให้พวกเณรพร้อมใจกันวิ่งมา พวกเราพูดปลอบใจพวกเณรและตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปดูสวิตซ์ไฟกันเองโดยคิดว่ามันคงมีบางส่วนชำรุด ผมพอมีความรู้เรื่องไฟฟ้าอยู่บ้าง วันรุ่งขึ้นพวกเราก็ไปที่ศาลาเมรุ ผมตรวจดูสวิตซ์ไฟ สายไฟ แล้วไม่มีอะไรชำรุดเสียหายจนทำให้ไฟในศาลาเมรุดับหรือติดเองได้ พอพวกเณรรู้ว่าสวิตซ์ไม่มีอะไรเสีย ก็จับกลุ่มคุยกันว่าต้องเป็นฝีมือผีแน่ๆ ผมบอกว่าไม่ใช่หรอกคงมีใครเล่นตลกเพื่อให้พวกเราตกใจกลัว เณรบอกว่าให้คอยดูคืนนี้ไฟในศาลาเมรุต้องติดอีกแน่ๆ เป็นอันว่าพอหัวค่ำไม่ทำอะไรกันแล้ว ทั้งผมและเพื่อนกับพวกเณรตั้งตาคอยดูว่าไฟในศาลาเมรุจะติดอีกไหม พวกเราคอยดูจน 4 ทุ่มก็ยังมืดอยู่จึงเข้านอน พอกำลังจะเคลิ้ม เพื่อนก็สะกิดให้มองไปที่ศาลาเมรุ ปรากฏว่าไฟที่ศาลาเมรุสว่าง ผมกับเพื่อนคิดว่าคงมีใครแกล้งให้เรากลัวแน่ๆ เพราะเราเฝ้าดูก็ไม่เห็นไฟติด ผมกับเพื่อนจึงตกลงกันว่าเราจะจับคนเปิดไฟให้ได้



พอตกค่ำเราสองคนแอบย่องไปที่ศาลาเมรุโดยไม่ให้ใครรู้ เมื่อมาถึงเราไปแอบอยู่ในซอกเก็บของซึ่งติดอยู่กับแผงสวิตซ์ไฟ ศาลาเมรุกับกุฎิห่างกันพอสมควร ผมกับเพื่อนนั่งเงียบๆ มองดูรอบตัวได้ซักพักก็เริ่มกระสับกระส่ายมองออกไปก็เห็นแต่ป่าช้าและเมรุทำให้ดูวังเวงชอบกล และยิ่งคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืดไม่มีอะไรให้แสงสว่าง อากาศเริ่มเย็นลง แล้วผมก็ได้กลิ่นเหมือนกลิ่นศพทำให้เราชักใจไม่ดีได้แต่มองหน้ากันไม่กล้าพูด ซึ่งเพื่อนมาบอกตอนหลังว่าตอนนั้นก็ได้กลิ่นศพเหมือนกันแต่ไม่กล้าพูด ยิ่งนั่งอากาศยิ่งเย็นลงผิดปกติ ผมเริ่มสังเกตพบว่าตามธรรมดาจะมีเสียงจิ้งหรีด เสียงแมลง แต่คืนนี้เงียบกริบ ทำให้ผมยิ่งใจเสีย ผมสะกิดเพื่อนเพื่อจะชวนกลับ แต่พอดีมองเห็นคนเดินเข้ามาที่ศาลาเมรุเป็นเงาดำๆ ผมกับเพื่อนเตรียมตัวกะกันว่าพอเข้ามาใกล้เราจะโผล่ออกไปพร้อมฉายไฟส่องหน้าให้รู้ว่าเป็นใครที่มาเปิดไฟ พอร่างนั้นเข้ามาได้ระยะ ผมกับเพื่อนโผล่อกไปพร้อมส่องไฟฉาย สิ่งที่ผมกับเพื่อนเห็นคือใบหน้าคนแก่หนังเหี่ยวไม่มีสีเลือด หน้าเหมือนศพไม่มีผิด ผมกับเพื่อนตกตะลึงอ้าปากค้าง อะไรยังไม่น่ากลัวเท่ามือของแกที่ยื่นมาจะเปิดสวิตซ์ไฟนั้นตามความรู้สึกของผมมันยาวมาก เท่านั้นเองผมออกวิ่งทันที เพื่อนผมวิ่งตามพร้อมแหกปากร้อง ผีหลอกๆ ผมวิ่งไปคิดไปทำไมกุฏิอยู่ห่างนัก ผมได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังจึงหันไปดูเห็นเพื่อนวิ่งตามมาก็ใจชื้น พอถึงกุฏิหันไปดูเพื่อน อ้าวไม่มี ผมรีบไปที่ห้องข้างๆ พร้อมรัวที่ประตูไม่นับ ปลุกเพื่อนพระด้วยกันพร้อมเณรพากันออกไปดู พบเพื่อนนอนสลบไม่ห่างจากกุฏินัก

ตั้งแต่นั้นมาผมกับเพื่อนไม่ยอมย่างกรายไปแถวศาลาเมรุอีกเลย



สุสานผีดุ

การค้าขายแบบเร่ร่อน เป็นการค้าที่ต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นหมู่คณะ บางครั้งต้องจากบ้านเป็นปีก็มีเมื่อมีงานพิธีที่ไหน เราก็เห็นพวกเขาที่นั่นเสมอ เช่นเดียวกับชาวอำเภอพรหมคีรี ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จะล่องเรือมาขายของในตลาดที่ผ่านเป็นประจำทุกปี ปีหนึ่งๆ ก็จะมากันหลายลำเรือ ของที่มาขายนั้นมีสารพัดอย่าง



เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตำบลบางควาย ในสมัยก่อน เมื่อมีคนตายลูกหลานและญาติๆ จะนำร่างของคนตายไปทำพิธีในป่าลึกห่างไกลจากหมู่บ้านนับสิบกิโลเมตร ในยุคสมัยคุณทวดของผมอำเภอนี้ยังไม่เจริญไม่มีถนนลาดยาง รถราต่างๆ ก็ไม่มี ต้องเดินแบบบุกป่าฝ่าดงตลอดทางท่ามกลางสัตว์ดุร้าย งูเงี้ยว เขี้ยวขอมากมาย บางครั้งกว่าจะถึงที่หมายก็มืดค่ำ การนำร่างของคนตายนั้นจะใช้วิธีแบกไปโดยมีคนหาม 4 คน ผู้ติดตามที่จะไปทำพิธีนั้นมีเฉพาะพระและญาติพี่น้องเท่านั้น เมื่อถึงที่หมายก็จะเป็นสุสานที่มีแต่โครงกระดูกอยู่เกลื่อนกลาด เพราะศพนั้นจะตั้งบนดอนสูง ไม่มีการเผาหรือฝัง แม้กระทั่งโลงใส่ศพก็ไม่มี คนสมัยนั้นเชื่อกันว่าถ้านำเอาร่างคนตายใส่โลงวิญญาณคนตายจะไม่มีที่ไปและจะวนเวียนไม่มีทางออก ในปัจจุบันสุสานไร้นามถูกทำลายไปเกือบหมดแล้วเพราะเป็นสุสานที่มีความน่ากลัวและหลอกหลอนผู้คนอยู่ไม่เว้นแม้กลางคืนหรือกลางวัน



เย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ชาวอำเภอพรหมคีรีจะล่องเรือมาขายอาหารในตลาด ในปีนี้พวกเขาล่องเรือมาทางสายน้ำใหม่ซึ่งจะต้องผ่านสุสานไร้นามแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่ยามสนธยานั้นท้องฟ้าที่แดงฉานกลับมืดอย่างรวดเร็ว อากาศที่ร้อนระอุเปลี่ยนเป็นอากาศที่เย็นเยือกอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นบางคนในเรือม่อยหลับไปแล้วเหลืออยู่เพียง 4 5 คนเท่านั้นที่ยังไม่หลับ เวลา 4 ทุ่ม เรือได้แล่นมาถึงตลาดโต้รุ่งที่มีแสงไฟตะเกียงสว่างไสว เสียงพ่อค้าแม่ขายขายของกันดังเอะอะ ผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย น่าสนุกสนาน คนที่ยังตื่นอยู่ในเรือรีบไปจอดเทียบท่าเพื่อที่จะเข้าไปชมตลาดแห่งนั้น โดยหารู้ไม่ว่ากำลังเจอดีเข้าแล้ว



ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติคนเรือทั้ง 5 ชักชวนกันไปกินขนมจีน ทุกคนก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หลังจากที่อิ่มหนำสำราญดีแล้วก็ไปชมหนังตะลุง เวลาผ่านไปถึงเวลากลับเรือ ก่อนจะกลับก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปคนละอย่าง โดยพวกเขาเลือกซื้อข้าวหลามไปฝากคนในเรือ



เมื่อเรือเริ่มห่างจากตลาดโต้รุ่งออกไป คนที่ไปเที่ยวตลาดยังสนุกสนานอยู่จึงหันไปดูตลาดเพื่อจะจำไว้ว่าเคยมาสถาน ที่แห่งนี้ แต่ตลาดที่พวกเขาเห็นนั้นอันตรธานไปเสียแล้วมีแต่ความมืดและเงียบสงัด ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างตื่นกลัว พลันทั้ง 5 คน ก็เกิดอาการง่วงเหงาอย่างรุนแรงและผล็อยหลับไป ตอนเช้าทั้งหมดตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง และไม่รู้ว่าตนได้หลับไปเมื่อใด คนที่ไปเที่ยวตลาดเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ อะไรกันนี่! สิ่งที่พวกเขาอาเจียนออกมาทั้งหมดนั้นคือ สายสิญจน์ที่มีเลือดและน้ำหนองผสมอยู่อย่างมากมาย ข้าวหลามก็กลับกลายเป็นโครงกระดูก ทั้งหมดต่างก็เสียขวัญและตกใจแทบสิ้นสติ และเพียงชั่วครู่ถัดมา ผู้ไปเที่ยวงานทั้ง 5 คน ก็ขาดใจตายโดยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น



จนกระทั่งเรือได้มาจอดหน้าวัดหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนาม) พวกที่เหลืออยู่จึงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้าอาวาส ว่าตลาดที่พวกเขาผ่านมานั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นสุสาน ทุกคนต่างสลดใจและคิดว่ามันคงเป็นชะตากรรมที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อนถึงได้มีจุดจบอันน่าเวทนาอย่างนี้

รถผี

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ยายของผมประสบมาด้วยตัวเอง

ช่วงนั้นอยู่ในฤดูหนาว อากาศทางภาคเหนือหนาวมากและตอนกลางคืนจะมีหมอกลงจัด โดยเฉพาะแถวบ้านของยาย เพราะมีต้นไม้ขึ้นครึ้ม ห้องนอนของยายอยู่ชั้นบนสามารถมองลงมาเห็นถนนได้อย่างชัดเจน

เรื่องของรถผีที่ยายเจอนี้ ไม่ใช่รถที่มีผีสิงแต่ว่าเป็นผีที่ขับรถผีมาเองเลยทีเดียว คืนนั้นเป็นคืนวันพระ หมอกลงจัดมาก ยายนอนไม่หลับ จึงลงมาเดินเล่นข้างล่างสักพักจึงกลับขึ้นไปนอน แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับ ยายนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงอยู่นาน จึงลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง จนกระทั่งตี 3 กว่า ยายได้ยินเสียงหมาทั้งเห่าทั้งหอนจึงแง้มม่านหน้าต่างในห้องนอนดู สักครู่ยายก็ได้ยินเสียงกึงกังๆ มาแว่วๆ แล้วก็มีรถเก๋งเก่าๆ (ฟังจากเสียงเครื่อง) เป็นเงามาปรากฏขึ้นตามสายหมอก รถคันนั้นเปิดไฟอ่อนมาก อ่อนจนแดง ซึ่งรถปกติไม่สามารถทำได้ ยายชักเอะใจ รถก็ค่อยๆ วิ่งมาช้าๆ จนมาหยุดจอดอยู่ตรงหน้าบ้านของบ้านข้างๆ บ้านยาย ยายก็รอดูว่าจะมีใครลงจากรถมาเปิดประตูสักที รออยู่เป็นนานก็ไม่เห็นมีใครลงมา ยายจึงกลับไปนอนต่อ แต่ก็นอนไม่หลับ ยายจึงลุกมาเปิดม่านหน้าต่างดูอีกครั้งว่ารถคันนั้นไปหรือยัง พอเปิดม่านยายก็เห็นรถคันนั้นอีก แต่คราวนี้ไฟหน้ารถนั้นค่อยๆ หรี่ลง หรี่ลง พร้อมกับรถคันนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป ยายสะดุ้งเฮือก พร้อมกับอุทานว่ารถผีแล้วยายก็กลับไปขึ้นเตียงคลุมโปงนอนต่อจนถึงเช้า

พอเช้าขึ้นมายายก็ไปถามบ้านข้างๆ ว่า เมื่อคืนเห็นอะไรแปลกๆ บ้างหรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่เห็นอะไรนี่นอนหลับสบายดี ต่อจากนั้นยายก็รีบไปวัดทำบุญตักบาตรให้เขา ทั้งที่ยายไม่รู้จัก