วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพื่อนสมัยเด็ก

ดิฉันเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีให้ฟังบ่อยๆ ที่จำได้แม่นก็คือเรื่องวิญญาณมักจะสิงสู่อยู่บริเวณที่ตาย ไม่ว่าจะเจ็บป่วยตายตามธรรมชาติ หรือโดนฆ่าตายบ้าง ฆ่าตัวตายบ้าง ตายเพราะอุบัติเหตุบ้าง

ประเภทหลังๆ ที่เรียกว่าผีตายโหง วิญญาณจะแรงมาก ชอบปรากฏร่างให้คนเห็นบ่อยๆ เพื่อขอส่วนบุญ แต่คนเห็นแล้วล้วนแต่หวาดกลัวกันทั้งนั้นแหละค่ะ

คนที่จะไปซื้อบ้านหรือเช่าบ้าน ถ้ารู้ว่ามีคนฆ่าตัวตายหรือโดนฆ่าตายก็มักจะไม่กล้า นอกจากจะไม่รู้จริงๆ เพราะไม่อยากอกสั่นขวัญแขวนโดยใช่เหตุ อย่างน้อยก็อยู่ด้วยความไม่สบายใจ ทั้งกลัวผีหลอก กับเชื่อว่าเป็นอัปมงคล ขนาดเจ้าของบ้านเองยังไม่กล้าอยู่ เราถึงได้ข่าวเรื่องบ้านร้างผีดุอยู่บ่อยๆ

บ้านเดิมดิฉันอยู่ที่บางใหญ่ นนทบุรี ได้ยินว่ามีคนโดนรถยนต์ชนตายแถวปากซอย ไม่ช้าก็มีคนเห็นวิญญาณเขาเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม หลายๆ คนยืนยันว่าไม่ได้ตาฝาด นอกจากจะจำหน้าได้แล้วเห็นเลือดแดงชุ่มไปทั้งตัวอีกด้วย


มีหญิงชราคนหนึ่งในซอย แกค่อนข้างขี้โรค ทั้งความดันเลือดสูง ทั้งเบาหวาน ล้มเจ็บต้องไปหาหมอเป็นประจำ วันหนึ่งแกคงเบื่อหน่ายชีวิตตัวเองเต็มที เลยตัดสินใจผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วเพื่อให้พ้นทุกข์ กับไม่ต้องตกเป็นภาระของลูกหลานอีกต่อไป เผาศพไปได้ไม่กี่วัน คนเดินผ่านบ้านนั้นตอนกลางคืนยังเห็นแกเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ รั้ว บางคนได้ยินเสียงกระแอมก็หันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงกับร้องลั่น เผ่นอ้าว...สาเหตุเพราะมองเห็นแกนั่งบนกิ่งมะม่วงก็มี เห็นร่างผูกคอห้อยโตงเตงถนัดตาก็มี

เรื่องนี้ทำให้แม่พาดิฉันไปทำสังฆทานที่วัดเขมาฯ เชิงสะพานพระรามหก ทั้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แกในฐานะเพื่อนบ้าน กับสะเดาะเคราะห์ตัวเองด้วย สังเกตว่ามีคนมาถวายสังฆทานกันหลายคน พระท่านกล่าวนำให้ทุกคนว่าตาม เรียกว่าสังฆทานหมู่ เสร็จแล้วก็ออกมาปล่อยนก ปล่อยปลาไหลและหอยขมที่เขานำมาขายในวัดกันหลายเจ้า

แม่บอกว่าปล่อยปลาไหลเพื่อให้ความทุกข์หรือเคราะห์ร้ายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ไหลไปตามชื่อปลา ปล่อยหอยขมก็คือให้ความขมขื่นต่างๆ หลุดลอยไปจากตัวเอง เป็นความเชื่อถือที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

ทำแล้วสบายใจดี อย่างน้อยก็ได้บุญที่ปลดปล่อยสัตว์พวกนั้นให้เป็นอิสระ หรือช่วยชีวิตพวกมันไว้...นี่คือเหตุผลของแม่ค่ะ

เรื่องขนหัวลุกที่ดิฉันประสบมาก็เกิดขึ้นที่บ้านใกล้ๆ กันนั่นเอง!

บ้านนั้นมีลูกสาวคนเดียวชื่อบุ๋ม เธออายุราวสิบขวบเศษเหมือนดิฉัน บุ๋มร่างผอมสูง ผิวขาว ไว้ผมม้า นิสัยค่อนข้างจะซุกซนและโลดโผนคล้ายเด็กผู้ชาย ทั้งชอบปีนป่ายขึ้นต้นไม้ พกหนังสติ๊กยิงนกยิงหนูอยู่เป็นประจำ

แม่คอยเตือนดิฉันว่าอย่าซนเหมือนบุ๋ม เดี๋ยวจะตกต้นไม้คอหักตาย หรือไม่ก็แขนขาหัก พิการไปตลอดชีวิต

บุ๋มเคยชวนเล่นซนตามเธอบ่อยๆ แต่ดิฉันไม่กล้าหรอกค่ะ กลัวเจ็บตัวกับกลัวโดนแม่ตีด้วย...ยอมรับความแก่นแก้วและใจกล้าของเธอจริงๆ เมื่อเห็นเธอกระโดดจากต้นไม้กิ่งสูงๆ หรือไม่ก็ปีนป่ายไปเก็บมะม่วงบ้าง ดอกจำปีบ้าง ขนาดหน้าต่างบ้านชั้นล่างยังเป็นทางลงของบุ๋มเลยค่ะ เพราะเธอกระโดดมาหาดิฉันหน้าตาเฉย

วันหนึ่งก็ได้ข่าวร้าย บุ๋มพลัดหล่นจากต้นมะปรางข้างบ้านลงมานอนสิ้นสติ พ่อแม่ต้องพาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ได้ข่าวว่าหัวแตกไหล่หัก ต้องนอนรักษาตัวอยู่หลายวัน แม่ดิฉันไปเยี่ยมมาครั้งหนึ่ง เล่าว่าอาการหนักน่าดู...ถือโอกาสกำชับดิฉันว่าห้ามปีนต้นไม้เด็ดขาด

อีก 2-3 วันต่อมา ดิฉันกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ได้ยินเสียงเรียกชื่ออยู่ใกล้ๆ จำได้ว่าเป็นบุ๋มก็หันไปมอง...เธอกลับนั่งห้อยขาอยู่ที่หน้าต่างชั้นล่าง นั่นเอง

ดิฉันร้องถามว่าหายแล้วหรือ? บุ๋มก็ยิ้มฟันขาว โดดหน้าต่างลงมากวักมือเรียก อารามดีใจทำให้รีบวิ่งออกไปดูก็เห็นเธอนำหน้าไปที่ต้นมะปราง แทบจะในพริบตาเดียวบุ๋มก็ขึนไปนั่งปร๋ออยู่บนกิ่งใหญ่พลางยิ้มแป้น เรียกให้ปีนขึ้นไปเล่นด้วยกัน

ลมพัดมาวูบใหญ่จนดิฉันขนลุกซู่...ได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกก็หันไปบอกว่าบุ๋มหายแล้ว ไม่เชื่อก็มาดูที่ต้นมะปรางนี่ซี

แม่ตะโกนอะไรลั่นๆ ฟังไม่ถนัด พลางวิ่งเข้ามาหา หน้าซีด ปากสั่น พูดเสียงแหบเครือว่า...ไปเล่นกับใครน่ะ? บุ๋มมันตายแล้วเมื่อตอนบ่ายนี้เอง!

ดิฉันอดหัวเราะไม่ได้ แหงนหน้าชี้มือให้แม่ดู...แต่ไม่เห็นบุ๋มอยู่บนกิ่งไม้นั่นเสียแล้ว

บุ๋มตายที่โรงพยาบาลจริงๆ แต่วิญญาณก็กลับมาสิงสู่อยู่ตรงที่เธอพบจุดจบ...จิตใจคงผูกพันอยู่ที่นั่น ตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาไปผุดไปเกิดเสียที ดิฉันจะไม่มีวันลืมภาพสุดท้ายที่เห็นเธอไปตลอดกาลเลยค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น