วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมู่บ้านผี

เรื่องนี้ปู่เล่าให้ฟังเมื่อหลายปีก่อน ฟังดูแล้วเรื่องของแกค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว เมื่อสมัยยังหนุ่มๆ ปู่มีอาชีพเป็นพ่อค้าวัวแร่ คือไปซื้อวัวควายจากหมู่บ้านต่างๆ แล้วต้อนไปขายยังอีกหมู่บ้านที่เขาต้องการ ในกลุ่มมีด้วยกันห้าคน โดยมีพ่อของปู่เป็นหัวหน้ากลุ่ม นอกนั้นเป็นคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับปู่ 

พ่อค้าวัวควายสมัยก่อนนั้น ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนนั้นเขาใช้วิธีต้อนวัวควายเดินบุกป่าฝ่าดงชนิดค่ำไหนนอนนั่น เรื่องอันตรายนั้นไม่ต้องพูดถึงมีร้อยแปดพันอย่าง ทั้งจากคนคือโจรปล้นวัว และจากสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือ ที่ลอบเข้าลักเอาวัวควายไปกิน บางทีไปเจอตัวที่มันร้ายๆหน่อย วัวควายในขบวนมันไม่สน มันจ้องจะคาบเอาคนในขบวนก็ยังมี ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังกันอย่างที่สุด ขณะเดินทางต้องเชื่อฟังหัวหน้ากลุ่มพร้อมกับปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หาไม่แล้วอาจต้องทิ้งชีวิตอยู่กลางป่าก็เป็นได้

ครั้งหนึ่งขบวนต้อนวัวของปู่เจอเข้ากับเรื่องที่แปลกประหลาด ปู่เล่าว่า ครั้งนั้นเป็นการต้อนวัวข้ามอำเภอซึ่งต้องรอนแรมอยู่กลางป่ากลางดงหลายคืน กองเกวียนในคราวนั้นมีด้วยกันสามเล่ม คือเกวียนเล่มของปู่กับพ่อ และเล่มของพ่อค้าวัวร่วมขบวนอีกสอง พ่อขับเกวียนตามขบวนวัว ปู่และเด็กหนุ่มพ่อค้าวัวเป็นคนเดินต้อนวัว 


เมื่อตกเย็นวันหนึ่ง พ่อบอกว่าต้องรีบหาหมู่บ้านให้ทันก่อนมืด เพราะรู้มาว่าพื้นที่แถบนี้โจรชุม ถ้าขืนพักค้างคืนในป่าอาจจะถูกปล้นเอาง่ายๆก็ได้ จึงเดินทางกันอย่างรีบเร่ง แต่อะไรหลายอย่างก็ไม่เป็นใจ วัวควายมักตื่นอยู่ตลอดเวลา ต้องเสียเวลาไล่ต้อนอยู่เรื่อยๆ และยังไม่มีวี่แววของหมู่บ้านให้เห็น แต่เมื่อเดินทางมาได้สักพัก แนวป่าที่เดินทางเริ่มโปร่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับกำลังจะเข้าหมู่บ้านทำให้ทุกคนค่อนข้างใจชื้น และผืนป่าก็มืดลงเมื่อตะวันลับฟ้า 

ขบวนต้อนวัวยังเดินทางไม่หยุดท่ามกลางความมืดสลัวราง แต่ก็หยุดไม่ได้ต้องเจอหมู่บ้านก่อน หลังจากเดินทางฝ่าความมืดกลางป่ามานาน ทุกคนก็ใจชื้นขึ้นมาเป็นกองเมื่อเห็นว่าข้างหน้านั้นเป็นหมู่บ้านตั้งทะมึนในความมืดอยู่หลายหลัง มีแสงไฟวับแวมส่องออกมาจากตัวบ้าน ขบวนจึงหยุดพักกันข้างหมู่บ้าน พ่อของปู่บอกว่าจะไม่เข้าไปพักในหมู่บ้านเพราะจะเป็นการรบกวนชาวบ้าน แค่มาอยู่ใกล้หมู่บ้านอย่างนี้ก็อุ่นใจมากแล้ว 

ขบวนจึงจอดเกวียนตั้งวงเป็นวงกลม ก่อไฟกองใหญ่ที่กลางวง วัวควายต้อนมาผูกไว้รอบกองไฟ ปู่เล่าว่า ตอนนั้นแม้จะอยู่ไม่ห่างจากบ้านเรือนของคนนัก แต่ก็แปลกที่หมู่บ้านนั้นเงียบสงัดเอามากๆ แทบจะไม่มีเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงวัวควายในขบวน ในหมู่บ้านนั้นเงียบกริบ พ่อของปู่ตั้งข้อสังเกตอีกอย่างว่า แถบนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีหมู่บ้าน แม้ทุกคนจะสงสัยในเรื่องนี้ แต่เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงขอให้มีที่พักใกล้หมู่บ้านในคืนนี้ก็พอแล้ว จากนั้นจึงแบ่งหน้าที่เวรยามกัน ปู่ได้เวรช่วงดึก

ตอนที่ลุกมานั่งเวรยามนั้น ปู่บอกว่าบรรยากาศทั่วไปนั้นเงียบสงัด สัตว์ที่ออกหากินกลางคืนก็ไม่มีร้องให้ได้ยิน หันไปทางหมู่บ้านก็เห็นแต่เรือนที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบและมืดสลัว นานๆครั้งก็มีเสียงหมาหอนโหยหวนมาให้ได้ยิน เล่นเอาขนลุกเกรียว เมื่อใกล้สว่างปู่จึงมุดเข้าไปนอนที่เกวียนพ่อ มาตื่นอีกทีเมื่อฟ้าแจ้ง พบว่าทั้งพ่อและพ่อค้าวัวแร่ร่วมขบวนเก็บของเรียบร้อย พลางรีบขึ้นเกวียนของใครของมันเตรียมออกเดินทาง ปู่ถามพ่อว่าทำไมรีบนัก น่าจะหุงหาข้าวเช้ากินก่อน พ่อตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆว่า เชิญเอ็งกินกับผีไปคนเดียวเถอะ เล่นเอาปู่งงไปครู่ใหญ่ แต่เมื่อมองไปรอบๆบริเวณที่มาพักเมื่อคืน ปู่ถึงกับตกตะลึงไปพักใหญ่ ก็เมื่อคืนน่ะ ทั้งที่เห็นชัดๆว่าเลยที่พักค้างคืนไปหน่อยมันเป็นหมู่บ้านคน แต่เช้านี้หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านที่เห็นเมื่อคืนกลับหายไป บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านเมื่อคืนกลับกลายเป็นแนวป่าโปร่งๆ ที่มีเดินดินพูนคล้ายกับหลุมฝังศพเป็นหย่อมๆ ชัดแล้ว...ที่ตรงนี้มันเป็นป่าช้าเก่าอย่างแน่นอน

เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋ ปู่ถึงกับขนลุกเกรียว เมื่อคืนนี้แทบจะทั้งคืน ปู่เข้ายามนั่งเป็นเพื่อนผีอยู่ทั้งคืน แต่ไม่รู้เลยซักนิดว่า หมู่บ้านที่ห่างจากตัวเองพักไปไม่เท่าไรนั้นเป็นหมู่บ้านผี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น