“สมยศ” เดือดถูก “พจน์” ด่าแรงลามถึงบุพการีผ่านเว็บไซต์ดัง เดินหน้าฟ้องร้องฐานหมิ่นเรียก 20 ล้าน เป็นค่าทำให้เสียหาย และเสียเครดิตเกือบ 20 ปีที่อยู่ในวงการ ลั่นจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ปัดสร้างกระแส อุบถูกอีกฝ่ายฉก “ฟิล์ม” ไป บอกมีหลักฐานพร้อมจะชี้แจงอีกที
เคยออกมาให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์ดังว่า เป็นผู้ปลุกปั้นนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ตัวจริง ไม่ใช่นักปั้น-ผู้กำกับชื่อดัง “พจน์ อานนท์” แต่ที่ผ่านมาเรื่องมักถูกบิดเบือนจากปากนักร้องหนุ่มเองว่า “พจน์” เป็นคนชักนำเขาเข้าสู่วงการ และเมื่อ “นายสมยศ ศรีสมบูรณ์” กรรมการผู้จัดการสำนักพิมพ์ บริษัทบ้านบันเทิง ได้ออกมาพูดทวงความจริง ก็เลยถูก “พจน์” ด่าตอกกลับด้วยคำที่หยาบคายรุนแรง ดูถูกบุพการี ผ่านเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์บันเทิงชื่อดัง
และเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) “สมยศ” พร้อมทนายความส่วนตัว “นายสุรพล บุญแซม” จึงได้หอบหลักฐานข่าวที่ลงข้อความ “พจน์” พูดพาดพิง และข่าวจากหนังสือพิมพ์ย้อนหลังต่างๆ เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.มานิต จันทร์ประสิทธิ์ พนง.สอบสวน (สบ.2) สน.พหลโยธิน ฐานหมิ่นประมาท โดยมีนักปั้นรุ่นพี่ “อุ๊บ วิริยะ” ตามมาให้กำลังใจ
โดย “สมยศ” ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตั้งแต่ทำงานเป็นนักข่าวอยู่ในวงการมาเกือบ 20 ปี ไม่เคยทะเลาะกับใคร และไม่เคยโดนใครด่าเจ็บจนทำให้เสียเครดิตแบบนี้ เลยต้องมาแจ้งความเอาผิด “พจน์” ฐานหมิ่นประมาทพร้อมเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท
“ที่ผมมาแจ้งความวันนี้ เพราะแต่ก่อนผมก็เป็นนักข่าวบันเทิง ทำงานตั้งแต่ปี 2534 ทำนิตยสารบ้าง ทำข่าวหนังสือพิมพ์บ้าง นั่นคือเครดิตในการทำงานของผม และผมก็ไม่เคยมีปัญหากับใคร ผมไม่เคยทะเลาะกับใครหรือด่าใคร แต่อยู่ดีๆ มีคนหนึ่งซึ่งรู้อยู่แล้วว่าใครมากล่าวอ้างในคำที่ไม่ถูกต้อง ผมไม่ใช่เป็นตามที่โดนกล่าวอ้าง และที่สำคัญถ้ามาโดนแบบนี้ทุกคนก็เจ็บครับ มากล่าวอ้างถึงบุพการี มากล่าวอ้างด้วยถ้อยคำที่ดูหยาบคาย ฟังแล้วไม่รื่นหู ฟังแล้วไม่สุภาพ ฟังแล้วไม่น่าจะคิดได้กับคำพวกนี้ ผมทำงานในวงการนี้มาเกือบ 20 ปี ความเสียหายกับเครดิตผม มันไม่สามารถที่จะเรียกคืนกลับมาได้ คนหนึ่งค่อยๆ เดิน 1 2 3 4 แต่อีกคนเหมือนมาทำให้ทุกอย่างฮวบฮาบลงไป ซึ่งผมเองเป็นเด็ก พี่พจน์เป็นผู้ใหญ่ แต่ผมไม่เคยเกเร ไม่เคยล้ำเส้น ไม่เคยพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นดูไม่ดีแบบนี้”
“ผมอยู่ตรงนี้ก็มีความรู้ความสามารถ ผมมีการศึกษามากพอที่จะมีระดับมันสมอง และวิธีการจัดระบบความคิดว่า สิ่งไหนที่ผมควรจะพูด สิ่งไหนที่ไม่ควรพูด และในการพูดของผมแต่ละครั้งมีการเรียบเรียง มีการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง และไม่ได้ก้าวไปล้ำเส้นใคร แม้ผมจะเด็กกว่าไม่ใช่คนดัง ผมไม่มีฐานะอะไรที่จะไปสู้ใครได้ แต่ผมมีความเป็นจริง และผมก็ถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2545 ทุกอย่างเป็นมายังไง นักข่าวบันเทิงที่เป็นเพื่อนผมจะรู้หมด ผมไม่ใช่โมเดลลิ่งนะครับ ผมก็อยู่ในสื่อสารมวลชนเหมือนกัน ใบผู้ประกาศข่าวผมก็มีเหมือนกัน แต่สิ่งที่เขาพูดคือการลดระดับของผม นั่นคือดูหมิ่นในเรื่องของเครดิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คนหนึ่งของผมเหมือนกัน ทำให้ผมเสียหายในเรื่องของภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือในสังคมบันเทิง”
“ถามว่าเรื่องเนิ่นนานแล้วทำไมถึงเพิ่งมาแจ้งความ คือจริงๆ ผมได้ยินนักข่าวเล่าประเด็นนี้มาเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ แต่พอได้ไปอ่านหนังสือพิมพ์ย้อนหลัง ก็เอ๊ะมันไม่ใช่แล้วนะ ถึงผมไม่ใช่คนดัง ไม่มีฐานะสูงส่ง แต่ผมไม่เคยล้ำเส้นใคร แต่ก็อย่ามาล้ำเส้นผมเหมือนกัน”
“ที่ผมฟ้องเรียกค่าเสียหาย 20 ล้าน จำนวนที่เรียกไปเป็นมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครดิต เครดิตที่คนเราสร้างสมมา 20 ปี มันประเมินค่ายากนะครับ เขาด่าบุพการีผม เปรียบเทียบผมเป็นอย่างที่เห็นกันอยู่ในข่าวที่ลงเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ ว่าผมเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นโน่นเป็นนี่บ้าง มันทำให้ผมรู้สึกว่าเราต้องเลือกใช้ภาษา ยิ่งภาษาต่อหน้าสื่อ อย่าลืมนะครับว่าภาษาที่มีต่อวัยรุ่นหรือสังคม มาจากภาษาสื่อมวลชน เพราะฉะนั้นเมื่อมาจากสื่อมวลชนแล้ว เราเป็นต้นเรื่องที่พูดออกไป มันจะต้องมีการคัดกรองภาษา เลือกใช้ภาษาไทย ถ้าไม่มีการคัดกรองเลือกภาษาที่ถูกต้องแล้ว ทุกคนจะเรียนมาทำไมครับ”
ลั่นไม่มีการติดต่อพูดคุยกับคู่กรณี บอกเลิกคุยมานานแล้วเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน ยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด พร้อมปัดต้องการสร้างกระแส
“ไม่คุยครับ ผมไม่เคยคุยกับพี่พจน์มานานแล้ว เพราะทัศนคติเราไม่ตรงกัน และสิ่งต่างๆ ผมก็เล่าได้เท่าที่ควรจะเป็นในสิ่งที่ผมดำเนินเรื่องอยู่ ผมยืนยันว่าจะดำเนินคดีเขาให้ถึงที่สุด เพราะผมอยู่ในวงการมาร่วม 20 ปี ไม่เคยมีใครมาทำขนาดนี้กับผม และผมไม่เคยทำอะไรใคร”
“ถ้าคนจะมองว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ เพื่อต้องการสร้างกระแสให้กับตัวเอง หรือกับพ็อกเก็ตบุ๊กที่กำลังจะออก เรื่องสร้างกระแสไม่เกี่ยวกันครับ ถ้าผมจะสร้างกระแส ตั้งแต่ที่มีข่าวต่างๆ ออกมาที่เราเห็นกันอยู่ ถ้าผมออกมาช่วงนั้นจะดีกว่าไหมครับ ไม่ใช่ช่วงนี้ แล้วหนังสือเนี่ยผมก็เขียนอยู่แล้ว ผมเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ก็ทำของผมเอง ซึ่งหนังสือที่ผมทำอยู่เป็นโครงการเรื่องแทนที่คนดี เรื่องดี 100 คนทั่วประเทศ เรื่องนี้ยิ่งทำให้เสียหาย เพราะหนังสือเล่มนี้ผมเป็นนักเขียน ถ้าเป็นนักเขียนปกติธรรมดาหรือที่โดนกล่าวหามา นึกเหรอว่ากระทรวงพัฒนาสังคมจะเลือกผมไปเขียน”
ต่อข้อซักถามที่ว่า เมื่อฟ้อง “พจน์ อานนท์” แล้ว จะมีพาดพิงไปถึง “ฟิล์ม” หรือไม่ เจ้าตัวกล่าวว่า
“เรื่องตรงนั้นเป็นเรื่องที่ผมส่งสำนวนการฟ้อง และอยู่ที่ท่านพนักงานสอบสวน นอกจากนั้นอยู่ที่ว่าจะมีความเป็นไปอย่างไร และเมื่อสรุปสำนวนอะไรต่างๆ ชัดเจนแล้ว หลักฐานหรือเรื่องราวต่างๆ ผมจะชี้แจงอีกทีหนึ่ง (แต่ยืนยันเป็นคนปั้นพระฟิล์ม และถูกพจน์ฉกไป?) คือเรื่องปั้นพี่ๆ น้องๆ ที่รู้จักผม แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ผมก็ยังเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงาน ให้กับบริษัทหนังต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าถามเรื่องนี้ทุกคนถ้าเป็นนักข่าวเก่าๆ จะรู้ ตั้งแต่ปี 2545 จากสื่อที่เคยลงไปบ้างแล้ว ส่วนที่บอกว่าเขามาฉกไป ถ้าจะพูดอย่างนั้นผมยังไม่ขอตอบไปไกลกว่านี้ ให้ทุกอย่างเรียบร้อยหรือชัดเจนกว่านี้ ผมก็จะพูดได้มากกว่านี้ เพราะที่ผมออกมาพูดก็มีสิ่งต่างๆ มีหลักฐานของผมพอประมาณเหมือนกัน”
“ทุกวันนี้ผมไม่ได้ติดต่อพระฟิล์มแล้ว ไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่ปลายปี 2545 ผมอาจจะไม่พูดมากไปกว่านี้ แต่สิ่งที่ผมทำเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ผมเป็นคนยกเลิกการทำงานกับเขาเอง ส่วนเหตุผลอะไรผมไม่ขอพูด ให้ดูจากสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นเอาละกัน คือถ้ามันมีอะไรที่สามารถพูดได้มากกว่านี้ ผมยินดีที่จะให้ความกระจ่าง เพราะผมก็เก็บเรื่องนี้มาตลอด 8 ปีเหมือนกัน สิ่งไหนที่ผ่านไปแล้วผมก็ไม่ซีเรียส ไม่สนใจ ถือว่าทำอะไรไปแล้ว ให้โอกาสไปแล้ว จะนึกถึงหรือไม่นึกถึงก็ไม่เป็นไร เพราะผมก็มีอาชีพมีการงาน”
ด้าน “อุ๊บ วิริยะ” ที่มาให้กำลังใจนักเขียนรุ่นน้อง บอกกล้าเอาชื่อตนการันตีว่า สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงทั้งหมด
“วันนี้ก็มาให้กำลังใจเขา ในฐานะที่รู้จักรู้เห็นความเป็นมาในการทำงานของเขากว่า 20 ปี ก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ มีอะไรก็ปรึกษากันตลอด ก็รู้ในสิ่งที่เขาทำเขาเห็น คือเป็นความจริง ตรงนี้กล้ายืนยันโดยเอาชื่อผมการันตี ถามว่าการที่ผมออกมาแบบนี้จะทำให้มีปัญหากับพจน์อีกไหม มันไม่เกี่ยวกันครับ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น