วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตามหาเรือโนอาห์ ที่ภูเขาอารารัต ตุรกี

images (1)

 

กว่า 2 ทศวรรษ มาแล้ว ที่การค้นหาเรือโนอาห์ เป็นที่สนใจจากนานาชาติ นักสำรวจหลายชุด แถบเทือกเขา อารารัต ทางตะวันออกของตุรกี ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาวอเมริกัน เรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มีขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้สนโกเฟอร์ ทำเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในและข้างนอก ยาว 300 ศอก กว้าง 50 ศอก สูง 30 ศอก (ใช้หน่วย 1 Cubit = 1 เมตร) และมี 3 ชั้น มีประตูด้านข้าง (ปฐมกาล 6:14-16) เป็นที่รู้กันดี ตั้งแต่ก่อน ศตวรรษที่ 20 แล้วว่า มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับเรือเดินสมุทรในปัจจุบัน

images (2)images (5)images (6)images (4)images (7)

พระคัมภีร์กล่าวว่า ณ วันที่ 17 ของเดือนที่ 7 ฝนก็หยุดตก และน้ำเริ่มลด นาวาก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต (ปฐมกาล 8:4) ซึ่งเป็นแถบ อาณาจักร Urartu โบราณ แต่ไม่ได้ระบุยอดเขาโดยเฉพาะ หลังจากโนอาห์ และครอบครัว ออกจากเรือบนภูเขา เรือนั้นก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึง ในพระคัมภีร์อีกเลย ผู้เขียนไบเบิ้ลคนต่อๆ มา ก็ไม่เคยพูดถึง และไม่ได้บอกว่า จะเห็นได้ที่ไหน อารารัตในปัจจุบัน มีเทือกเขาแฝดสูง ที่น่าสนใจคือ มีรายงานจำนวนมาก ในประวัติศาสตร์ บอกว่าเรือขนาดใหญ่อยู่บนภูเขาแถบนี้ นัก วิชาการปัจจุบัน หลายคนคิดว่า ยอดเขาอารารัตในตุรกี เป็นสถานที่ ที่น่าจะพบเรือโนอาห์มากกว่า เพราะอารารัตคือยอดเขา ที่สูงที่สุดในตุรกี ดังนั้นขณะน้ำลด ภูเขาลูกแรก ที่จะโผล่เหนือน้ำ ต้องเป็นภูเขา Ararat ที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี และมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Aghri Dagh ซึ่งแปลว่า ภูเขาแห่งความเจ็บปวด ปัจจุบันอารารัตมียอดเขา 2 ยอดคือ Great Ararat ที่สูง 5,137 เมตร กับ Little Ararat ที่สูง 3,896 เมตร และช่วงบนของยอดเขาทั้งสอง ขนาดซึ่งวัดโดยรอบได้ถึง 40 กิโลเมตรimages (3)

รายงาน กว่าศตวรรษจากผู้เคยพบเห็นเรือ ค้นพบชิ้นไม้ ถ่ายรูปได้จากที่สูง มากมาย เป็นที่เชื่อกันว่า อย่างน้อย ชิ้นส่วนที่ใหญ่ๆ ของเรือ น่าจะยังมีอยู่ อาจไม่ได้อยู่ เทือกเขาสูงสุด แต่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอยู่เหนือ ขึ้นไป ระดับหมื่นฟุต ภูเขานี้ปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็งตลอดทั้งปี มีเพียงช่วงฤดูร้อน ที่จะเข้าไปได้ บางคนก็เคยปีนและเดินขึ้นไป

ในทศวรรษที่ 80 นัก สำรวจเรือโนอาห์จำนวนไม่น้อย ได้เข้าร่วมโครงการนาซ่า กับ เจมส์ เออร์วินเป็นเรื่องครึกโครมมากจนสภาพโซเวียตต้องออกมาขัดขวางเพราะว่าเทือก เขาอยู่ขอบชายแดน ตุรกี-โซเวียต พอเจมส์เสียชีวิตลง ก็มีการสำรวจครั้งใหม่

ในทศวรรษที่ 90 และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีหลักฐาน แน่ชัดว่ามีคนพบเรือทั้งลำ ในความพยายามค้นหาตำแหน่งของเรือ Noah ตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้มีการอ้างหลักฐาน การเห็นซากเรือ หลายครั้ง เช่น

 

เมื่อ 700 ปีก่อนนี้ ในศควรรษที่14 ประมาณปี 1356 มีหนังสือชื่อ Travels of Sir John Mandeville ที่เล่าว่า มีนักบวชคนหนึ่ง เก็บเศษไม้ได้จากยอดเขา Ararat แต่ก็ไม่มีใคร ณ วันนี้รู้ว่า Sir John ในหนังสือนั้นคือใคร และมีตัวตนหรือไม่

และเมื่อปี 1916 ความสนใจเกี่ยวกับเรือ Noah ได้บังเกิดอีกเมื่อวารสาร The New Eden รายงานว่า นักบินชาวรัสเซียคนหนึ่ง ชื่อVladimir Roskovitsky ขณะบินสำรวจผ่านยอดเขา Ararat เขาได้เห็น ซากเรือขนาดใหญ่ บนเขาลูกนั้น แต่ก็ไม่มีการติดตามไปดู จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1917 แม่ทัพรัสเซีย ท่านหนึ่ง ได้ส่งทหาร 150 คน ขึ้นไปดูซากเรือ เพื่อนำรายงาน ไปบังคมทูล ให้จักรพรรดิซาร์ (Czar) ทรงทราบ แต่ได้เกิดรัฐประหาร คณะปฏิวัติ Bolshevik จึงได้ทำลายเอกสารรายงานหมด เพื่อไม่ให้ใคร เชื่อคัมภีร์ไบเบิลอีกต่อไป

images

ในปี ค.ศ. 1955 Ferdinand Navarra นักผจญภัยชาวฝรั่งเศสกับลูกชาย ได้เดินทางขึ้นยอดเขา Ararat และได้นำ ไม้โอ๊กแผ่นหนึ่งกลับลงมา ในหนังสือชื่อ Noah's Ark: I Touched It เขาเล่าว่า เขาต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ของตุรกี เพื่อนำซากไม้ที่ยาว 2เมตรออกนอกประเทศ ถึงแม้หนังสือเล่มนั้น จะมีภาพของสองพ่อลูกบนภูเขา แต่ก็หามีภาพของเรือไม่ และเมื่อ Navarra ให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านอายุของวัตถุโบราณ วัดอายุของไม้เขา ได้ข้อสรุปว่า ไม้นั้นมีอายุตั้งแต่ 4,000-6,000 ปี ซึ่งก็ตรงกับคำสอน ในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า โลกถือกำเนิดเมื่อ 6,008 ปีก่อนนี้ และเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ปีก่อนจริง

ถึงแม้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรือจะยุติลงในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ แต่ประเด็นเหตุการณ์ น้ำท่วมโลก ก็ยังมีบุคคลสนใจมากมาย เมื่อ ปี2000 ในหนังสือชื่อ Noah's Flood : The New Scientific Discoveries About the Event That Changed History. William Ryan แห่ง Lamont-Doherty Earth Observatory ที่เมือง Palisades ใน New York สหรัฐอเมริกา ได้เสนอความเห็นว่า ในอดีตเมื่อ 8,000 ปีก่อนนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ น้ำท่วมครั้งมโหฬาร ในบริเวณที่ราบรอบทะเลดำ ( Black Sea) ซึ่งอยู่ระหว่างยุโรปกับเอเชีย และเป็นทะเลสาบ น้ำจืด น้ำทะเล ได้ไหลทะลักผ่านเข้ามา ทางช่องแคบ Bosphoues จนถึงทะเลดำ ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบ เพิ่มสูงขึ้น 100 เมตร ในเวลา 3ปี แต่ Ryan มิได้ระบุชัดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เกิดจากสาเหตุใด

 

ในวารสาร Paleoceanography ฉบับที่ 19 ปี2004 Mark Siddall แห่งมหาวิทยาลัย Bern ใน สวิตเซอร์แลนด์ กับคณะได้รายงานการใช้คอมพิวเตอร์ จำลองสถานการณ์น้ำท่วมในทะเลดำ และพบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมโลก สามารถเกิดขึ้นได้ โดยคณะผู้วิจัย ได้สมมติว่าในอดีตเมื่อ10,000 ปีก่อนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่โลก กำลังตกอยู่ใน ยุคน้ำแข็ง Holocene ทะเล Mediteranean ทะเล Marmara และทะเลดำมีแผ่นดินคั่นอยู่ ณ เวลานั้นระดับน้ำ ในทะเลดำ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในทะเล Marmara ประมาณ 100 เมตร และเมื่อน้ำแข็งละลาย ระดับน้ำในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน และทะเล Marmara ได้เพิ่มสูงขึ้นๆ จนกระทั่งเมื่อ 8,400 ปีก่อนนี้ น้ำจากทะเล Marmara ก็ได้ไหลข้ามพื้นแผ่นดิน ที่คั่นระหว่างทะเล Marmara กับทะเลดำเข้าสู่ทะเล ดำ

 

ในการศึกษารายละเอียดของเหตุการณ์น้ำท่วมว่ารุนแรง หรือราบเรียบเพียงใด Siddall กับ คณะได้กำหนด ให้กระแสน้ำท่วม มีความเร็วต่างๆ กัน แล้วศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามบริเวณขอบทะเลดำ และเขาก็ได้พบว่า ถ้ากระแสน้ำไหลช้าๆ แรง Coriolis ซึ่งเกิดจากการ หมุนรอบตัวเองของโลก จะทำให้น้ำไหลขึ้นทางเหนือ จะพุ่งเฉียงไปทางตะวันออก แต่ถ้ากระแสน้ำไหลเชี่ยว เพราะขณะนั้น ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย พลังไหลของน้ำจะมหาศาล จนมันสามารถไหล ได้ทุกทิศทาง ปริมาณน้ำที่มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เท่ากับ 20 เท่า ของน้ำตก Niagara จะไหลพุ่งเข้าทะเลดำ เป็นเวลานาน 33 ปี จนระดับน้ำในทะเล Marmara และทะเลดำเท่ากัน น้ำจึงหยุดท่วม

 

ในปี 1987 Ron Wyatt นัก สำรวจโบราณคดี พบว่าบนเทือกเขา มีรอยของเรือขนาดใหญ่ ในเขตของตุรกี นักข่าวได้ประโคมข่าวใหญ่ในประเทศ รัฐบาลได้ขอให้รอนแสกนภาพจากเรดาห์ และพบร่องรอย ที่เป็นหลักฐาน มากมาย แต่แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในช่วงปี 1840 และระยะเวลาที่ยาวนาน ได้กระจายชิ้นส่วนของเรือ ออกไปแล้ว เป็น 3ชิ้นเป็นอย่างน้อย หรืออาจมากกว่า 6ชิ้น แต่มีการอัศจรรย์ ที่ยังคงรักษาบางชิ้นส่วนเอาไว้ได้ โดยการค้นพบ จากภาพถ่ายจากดาวเทียม ทำให้สามารถ พบเศษไม้ ที่กลายเป็นหิน ได้จำนวนหนึ่ง การค้นคว้านี้ ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะยังไม่มีคนใด ที่ได้เห็นเรือทั้งลำหลงเหลือในปัจจุบัน

นอกจากนั้นในเรื่องราวของสุเมเรียนและบาบิโลเนียน ยังมีเรื่องราวที่เหมือนกับของโนอาห์อยู่ด้วย เมื่อเทพ Enki ประสงค์ จะกวาดล้างมนุษย์ วีรบุรุษผู้พาสิ่งมีชีวิตและครอบครัวหนีตายจากน้ำท่วมชื่อ อุชนาปิชทิม ส่วนในเรื่องราวของอินเดีย พระมนูหนีน้ำท่วมและลงเรือที่ยอดเขาชื่อ "อารยวรรต" ซึ่งเพี้ยนมาจาก"อารารัต" หรือไม่ก็ยังไม่มีผู้ใดบอกได้ และยังมีตำนาน น้ำท่วมโลกในอีกหลายๆประเทศเช่น แอฟริกา จีน อินเดีย ออสเตรเลีย กรีซ แมกซิโก เผ่าอินคา

เชิงอรรภยอดเขาอารารัต


"ไม่เคยมีผู้ใดพิชิตยอดเขาอารารัตอันสูงตระหง่านจนกระทั่งเมื่อคริสตศตวรรษที่ 19 เนื่องจากว่าบรรดานักบวชและศาสนิกชนต่างเชื่อกันว่า มนุษย์มิควรจะเหยียบย่างไปที่ "ยอดบรรพตศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งเป็นที่สถิตของซากเรือแห่งโนอาห์

อา รารัตเป็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดกาล ตระหง่านชูยอดเทียบท้องฟ้าราวกับนกปากสีเงินที่งามสง่า ชาวพื้นเมืองบริเวณนั้นเรียกภูเขานี้ว่า อากรี ดากี หรือ อารี ดาอี อันหมายความว่า "ภูเขาแห่งความเจ็บปวด" ภูเขานี้ผุดขึ้นโดดเด่นจากลุ่มแม่น้ำอาราสทำให้เกิดเป็นภาพภูเขาหิมะตัดกับ ภูมิทัศน์รอบๆ ซึ่งเป็นผืนดินขรุขระเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ทราบไหมครับว่า กิตติศัพท์ของภูเขาอารารัตนี้มิได้เกิดจากรูปทรงสมมาตร แนวลาดที่ดูเรียบ และเกร็ดหิมะขาวที่ปกคลุม หากชื่อเสียงของอารารัตมาจากพระคัมภีร์ที่พวกเราคุ้นเคยกัน คัมภีร์ไบเบิลครับ...

ตามพระ คัมภีร์กล่าวไว้ว่า เมื่อน้ำท่วมโลกได้ลดลง ภูเขาอารารัตนั้นคือภูเขาลูกแรกที่ยอดโผล่พ้นผิวน้ำ และเป็นที่ๆเรืออาร์คของโนอาห์ได้ลงจอด ซึ่งอันที่จริงนะครับ อารารัตเป็นภูเขาที่มีสองยอดโดยมีระยะทางห่างกันประมาณ 11 กิโลเมตร ยอดทั้งสองที่ว่าประกอบด้วย ยอดเขาเกรต อารารัต สูง 5,137 เมตร ซึ่งถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศตุรกี กับอีกยอดเขาหนึ่งคือ ลิตเติล อารารัต ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3,896 เมตร ยอดเขาทั้งคู่เดิมเป็นภูเขาไฟและประกอบด้วยเถ้าลาวาหลายชั้น แม้ปัจจุบันจะไม่ร่องรอยภูเขาไฟให้เห็นที่ยอดทั้งสอง แต่รายรอบตามลาดยังมีกรวยและรอยแยกอันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟให้เห็น อยู่ ก้อนหินที่พื้นรอบๆเขาก็ยังมีร่องรอยของภูเขาไฟให้เห็นอยู่บ้าง

ภูเขา อารารัตเป็นภูเขาที่บริเวณส่วนใหญ่ไร้พืชพันธุ์ขึ้น และถึงจะมีหิมะปกคลุมแทบตลอดทั้งปีแต่ภูเขานี้ก็ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก มีพืชตระกูลเบิร์ชบางต้นเท่านั้นที่ยังคงขึ้นอยู่ได้ ทว่าบริเวณช่วงกลางของลาดเขาที่สูงประมาณ 1,500 - 3,000 เมตร นั้นยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้าง ชาวไร่เคอร์ดิชสามารถเลี้ยงแกะได้บนทุ่งหญ้าบริเวณนี้ และในอดีตเคยมีสัตว์มากมายอาศัยอยู่ตามแนวรายรอบบริเวณ น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราพบกันไม่กี่ชนิดเท่านั้น เคยมีบันทึกของนักการทูตอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 19 รายงาน ว่า พบหมี เสือภูเขา และสิงโตอยู่ด้วย ในสมัยกลางดินแดนแถบนี้เล่าลือกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมังกร รวมทั้งตำนานของหนอนน้ำแข็งพิสดาร ที่ลำพังด้วยตัวเล็กกระจิ๋วของมันกลับทำให้น้ำผลไม้ชามใหญ่กลายเป็นน้ำแข็ง ไปได้


เพราะตำนานเหล่านี้ จึง'ทำ ให้นักไต่เขาและนักผจญภัยพากันหวั่นหวาดไม่อยากขึ้นมาบนเขาลูกนี้ นอกจากเรื่องเล่าลือแล้ว อันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่น หิมะถล่ม หมอกมืดอันปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี และภูมิอากาศที่มักเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทำให้นักไต่เขาพากันเข็ดขยาดไม่อยากยุ่งกับภูเขาอารารัตมากนัก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1829 เมื่อ โยฮัน ยาคอบ ฟอน ฟาโรท ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันวัย 37ปี ไต่ขึ้นยอดเขาจนสำเร็จหลังจากที่พยายามมาสามครั้ง เขาฉลองความสำเร็จโดยปักไม้กางเขนที่ยอดเขา และนับจากนั้นเป็นต้นมา สาวกนักพิชิตภูเขาก็แห่กันตามรอยของฟาโรท์เป็นการใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ เจมส์ ไบรซ์ รัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ซึ่งพิชิตยอดเขานี้สำเร็จในปี ค.ศ. 1876 ไบรซ์ รู้สึกซาบซึ้งอย่างประหลาด เมื่อเขามองจากยอดเขาข้ามที่ราบอันปกคลุมไปด้วยฝุ่นไปยังดินแดนต่างๆที่เคย เป็นบรรดาอาณาจักรของ ซาร์ ชาห์ และสุลต่าน เขาปรารภไว้ในงานเขียนของเขาภายหลังว่า...

"ถ้า ณ ที่นี้เป็นที่แรกซึ่งมนุษย์ย่างเหยียบพื้นโลกอันปราศจากผู้คน เราก็คงจินตนาการได้ว่าการกระจายของมนุษย์นานาเผ่าพันธุ์จากยอดเขาอันศักดิ์ สิทธ์นี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่มีที่แห่งใดจะเหมาะเป็นศูนย์กลางโลกมากกว่าที่แห่งนี้อีกแล้ว..."

เจ้า ยักษ์ผู้อ่อนโยน เป็นอีกฉายาหนึ่งของภูเขาอารารัต บ่งบอกถึงขนาดของมันว่าเป็นยักษ์แห่งอาร์เมเนีย ภูเขาลูกนี้ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางผืนดินรอบๆ ดูมโหฬารทั้งความสูงและขนาดซึ่งวัดโดยรอบได้ถึง 40 กิโลเมตร อารารัตไม่เพียงแต่จะดูสวยงาม แต่ยังสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ตลอดแถบที่ราบอนาโตเลีย ชาวเปอร์เซียพากันเรียกภูเขาลูกนี้ว่า โคอินูห์

ครับ... ไม่ว่าเรือของโนอาห์จะมีอยู่จริงหรือไม่ ภูเขาอารารัตก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มันยังคงตระหง่านท้าทายสายตามนุษยชาติไปอีกแสนนาน สมกับคำที่เจมส์ มอร์เรีย เขียนบรรยายถึงอารารัตเอาไว้ว่ามัน "ช่างงดงามสมบูรณ์ไปเสียทุกส่วน ทุกสิ่งดูกลมกลืนรับกันไปหมด"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น