วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตำนาน รากษส

images (4)

เรื่อง ราวที่นำมาตีแผ่แฉความตามท้องเรื่องครั้งนี้ มิใช่เรื่องจากจิตนาการหรือเทพนิยายรามเกียรต์ มิใช่เรื่องของสัตว์ประหลาดอย่างเช่น ไอ้ตีนโต (Big Foot) เยติ (Yeti) หรือมนุษย์หิมะ มิใช่เรื่องของลิงยักษ์ มนุษย์วานร (Ape Man) หรือซูเปอร์แมน และไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตำนานยักษ์วัดแจ้ง ท้าตีกับยักษ์วัดโพธ์แถวๆ ท่าเตียน….

images (1)

หาก แต่ว่ามันเป็นเรื่องปริศนาทางข้อมูลประวัติศาสตร์โบราณคดีเกี่ยวกับสิ่งมี ชีวิต อะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่มีร่างกายใหญ่โต พอๆกับยักษ์วัดแจ้งมันอาจเป็นมนุษย์โลกสมัยดึกดำบรรพ์พันธุ์หนึ่ง หรืออาจเป็นอมุษย์พวกหนึ่งก็มิทราบได้ มันอาจเป็นลูกหลานของมนุษย์หินโบราณตระกูลไจแกนโตพิธิคัส (Gigantopithecus) หรืออาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันนี้ก็ได้ คำอธิบายที่แน่นอนยังคงเป็นความลี้ลับของ มิติภพแห่งนี้อยู่…

images (2)

ไม่ว่ามันจะเป็น มนุษย์แต่มีขนาดใหญ่กว่าจึงต้องเรียกมันว่า "รากษส" เพื่อให้แปลกและดูเป็นปริศนาน่าตื่นเต้นเท่านั้นแหละครับ

ลองไปถามใครๆดูก็ได้ว่ารู้จัก "ยักษ์" หรือ "รากษส" บ้างไหม? รับรองว่า 80 % ของคนที่อ่านออกเขียนได้ทั่วโลกจะต้องตอบว่า "รู้จัก" แต่คงมีไม่ถึง 1 % ที่จะบอกว่าเคยเห็น

สำหรับคนไทยนั้นไม่ต้องพูดถึง เราคุ้นเคยกับความหมายของคำว่า "ยักษ์" กันดีทุกคน และส่วนใหญ่คงเคยเห็นรูปปั้นยักษ์ตามวัดหรือไม่ก็ในรูปภาพเรื่องรามเกียรติ์ แต่ท่านอาจแปลกใจถ้าจะบอกว่าคนเราแทบทุกชาติในโลกนี้ ต่างเคยรู้เรื่องหรือมีเรื่องเล่าในเชิงเทพนิยายตำนานอะไรต่อมิอะไรเกี่ยว กับยักษ์ทั้งนั้น…

อย่าง นี้แล้วไซร้ลองคิดกันดูที่ว่าเรื่องของยักษ์มันมีความเป็นจริงมากน้องเพียง ใด หรือว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกโม้แต่งกันขึ้นมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องที่แต่งยกเมฆขึ้นมาแล้วไซร้ ทำไมชนชาติต่างๆเกือบทั่วโลก จึงมีเรื่องของยักษ์คล้ายกันหมด คนทั้งโลกจะคิดยกเมฆโม้โกหกเรื่องเดี่ยวกันนี้ได้คล้ายกันนั้นเชียวรึ ? หรือ ว่าเรื่องของยักษ์ ซึ่งหมายถึงมนุษย์หรืออมนุษย์ที่มีร่างการใหญ่โตมีตัวตนอยู่จริงๆในอดีตกาล และบรรพบุรุษของเราสมัยดึกดำบรรพ์ เคยเผชิญหน้ากับพวกยักษ์หรือรากษสแล้วจึงนำมาเล่าให้ลูกหลานฟัง หรือสืบต่อกันมาเป็นเรื่องนิยาย โกหกยกเมฆกันไปฉิบ

เรามาลองวิเคราะห์ดูทีเป็นไง


จากตำนานเชื่อถือได้ ซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของโลกคือ พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า ในบทของเจนีซิส (Genesis '6:4') ก็มีใจความตอยหนึ่งกล่าวไว้ว่า…

"There were giants in the earth in those days;…." ซึ่งแปลได้ความว่า แต่ก่อนโน้นเคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกของเรานี้เช่นกัน…อย่างนี้พอจะใช้เป็นข้อยืนยันได้หรือไม่ว่ารากษสนั้นเคยมีอยู่จริงในสมัยดึกดำบรรพ์…บางท่านอาจจะเบะหน้าส่ายหัวไปมาพลางครางว่า "ใช้ไม่ล่าย ….ก็ไม่เป็งลายคร้าบ ลองดูข้อมูลอย่างอื่นดูบ้างก็ได้


ใน ประเทศอังกฤษนั้น มีนิยายปรัมปราอยู่มากมายที่กล่าวถึงรากษสและแถมมีการเสริมทับให้เห็นจริง ด้วยหลักฐานทางโบราณวัตถุมากมาย เป็นสิ่งก่อสร้างประหลาดๆที่มีขนาดใหญ่โตและยังไม่มีนักโบราณคดีหน้าไหน สามารถอธิบายให้เจ๋งๆได้เลยว่าสิ่งก่อสร้างมหึมาแปลกประหลาดเหล่านี้นั้นใคร เป็นคนสร้าง สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด และสร้างไว้ทำไม อย่างเช่น กองหินประหลาดที่มีฉายานามบันลือโลกว่า "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge) นี่ ก็มีนิยายปรัมปราที่พวกชนพื้นเมืองเล่าซุบซิบ ต่อกันมาว่า เป็นสิ่งก่อสร้างของยักษ์ แต่นักโบราณวิทยาทั้งหลายแหล่ไม่ยอมเชื่อ กลับโต้แย้งว่าเป็นสถานีดาราศาสตร์ของ ชนเผ่านิรนาม สร้างขึ้นในสมัยนิรกาล

พูดง่ายๆก็คือ ใครเป็นผู้สร้างตั้งแต่สมัยไหน อ้าว….ไม่รู้แล้วทำไมตอบได้หล่ะว่าไม่ใช่ยักษ์เป็นผู้สร้าง

นอก จากตัวอย่าง สโตนเฮนจ์ดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ พวกรอยแกะสลักมหึมาตาม พื้นหินตามหน้าผาของภูเขาและเนินหืนเนินเขาหลายแห่ง มีรูปร่างเป็นวงโค้งกว้างใหญ่หรือไม่ก็เป็นรูปมนุษย์ขนาดมหึมาทำท่าอะไร บางอย่างที่คนรุ่นหลังดูไม่ออก แต่พวกชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีถิ่นกำเนิดสืบต่อกันมาชั่วลูกชั่วเหลนในแถบ นั้นมีเรื่องเล่าปรมปราสืบทอดกันมาว่า สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาพิสดารเหล่านี้เป็นฝีมือ ของพวกยักษ์ในสมัยโบราณทำเอาไว้ตอนรับการมาของเทพเจ้าของเขาครับผม

สิ่ง ก่อสร้างบนพื้นหินในทำนองนี้มิใช่จะมีอยู่แต่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ในแถบอเมริการเหนือและอเมริกาใต้ก็มีเหมือนกัน แถมยังมีโบราณสถานที่สร้างด้วยหิน แต่มีขนาดสแกลที่ใหญ่ผิดปกติอีกจำนวนมากมายหลายพันแห่ง มีทั้งวิหารที่มีประตูและหน้าต่างขนาดใหญ่ ใหญ่เกินความเหมาะสมสำหรับคนธรรมดา มีทางลาดและขึ้นบันไดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถก้าวขึ้นได้ทีละก้าว และที่น่าพิศวง ก็คือมีการแกะสลักหินเอาไว้เป็นแท่นลักษณะคล้ายที่นั่งหือเก้าอื้ แต่ก็มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะขึ้นไปนั่งได้ ต้อนปีนขึ้นไปนั่งถึงจะนั่งได้.

.สิ่งก่อสร้างมหึมาสแกลผิดปกติเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาของที่มาและวัตถุประสงค์ และยังคงลี้ลับสุดก้นบึ้งก็คือไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง…

แต่ ที่พวกนักโบราณวิทยา ส่ายหน้าไม่ยอมเชื่อก็คือ คำบอกเล่าปรัมปราที่เล่าสิบทอดกันมาในหมู่ชนพื้นฐานโบราณ ที่ยังคงอาศัยอยู่ในแถบนั้นพวกเขาบอกว่า

"นั่นคือเมืองของพวกยักษ์ ซึ่งกาลครั้งกระโน้นเคยมีอำนาจรุ่งเรื่องอยู่ในแถบนั้น"

images
เป็น ไงครับ หลักฐาน กล่าวอ้างยกมาเป็นแซมเปิ้ลให้คิดกันเล่นๆแค่นี้ยังคงไม่เป็นไรนะครับ คราวนี้มาดูรายงานจากหนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุชื่อ "History and Antiquities of Afterdate" ของ อังกฤษมีรายงานแปลกๆซึ่งน่าเชื่อถือได้อยู่คอลัมน์หนึ่งกล่าวถึงการค้นพบ สิ่งแปลกประหลาดมนประเทศอังกฤษเป็นประวัติการค้นพบเกิดขึ้นในสมัยกลาง (Middle Ages) มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า …

"ในการขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ (Cumberland) ได้ขุดไปเจอซากศพของมนุษย์ยักษ์โบราณ สุสานหรือหลุมศพนั้นอยู่ลึกลงไปจากระดับพื้นดินซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 4 หลา (ประมาณ 3 ? เมตร) ศพนั้นมีแต่โครงกระดูกอยู่ภายในเสื่อเกราะเหล็กแบบ โบราณซึ่งไม่ทราบว่า เป็นชุดเสื้อเกราะในยุคสมัยใด จากโครงกระดูกวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายนึ้วเท้าพบว่ามีความยามถึง 4 หลาครึ่ง สองข้างของศพมีดาบและขวานขนาด มหึมาวางนอนอยู่ข้างละเล่ม หัวขวานเป็นเหล็กหนา 6 นิ้ว ส่วนดาบก็เป็นเหล็กสองคมยาว 2 หลา รวมกับตัวด้ามถืออีก 16 นิ้วเป็น 2 หลา 16 นิ้ว…

ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่า มีหัวกระโหลก หน้าผากกว้างถึง 18 นิ้ว มีกรามใหญ่และมีฟันยาวยื่นขนาด 6 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว….

"ปัจจุบันนี้เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพ ได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของมิสเตอร์แซนด์แห่งเรดิงตัน (Sand's of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ได้ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อมิสเตอร์ไวเบอร์ แห่งเซนท์บีส์ (Wyber's of St.Bees)…."

นี่แหละครับ รายงานเก่าแก่ฉบับแรกจากสมัยแรกจากสมัยยุคกลางในอังกฤษ โครงกระดูกมนุษย์ขนาดสูง 4 หลา หรือ 12 ฟุต นี่คงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาซะแน่แล้ว ถ้าไม่ใช่รากษส ก็คงเป็น โกไลแอท ตัวจริงซะก็ไม่รู้…

อ้อ ลืมบอกไปตามหนังสือเข้าบอกไว้ด้วยว่า ชิ้นส่วนต่างๆของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้นถูก พวกนักสะสมของเก่า หรือของแปลกๆแย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกันอีกเลยหล่ะครับ


รายงานอีกชิ้นหนึ่ง เป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ (Dr.Mazurier) เขียนบันทึกเอาไว้เป็น "แพมเฟลต" (pamphlet) หรือเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า

"….มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ (Chaumont) ในอังกฤษ ในสุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกระโหลกถึงปลายเท้าวัดได้ 25 ฟุต มีช่วงไหล่กว้างถึง 10 ฟุต…"

ใน รายงานกล่าวว่า ดร.มาซูริเออร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไป ขายในตลาดมืด ของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Mus'ee de Pale ontologie ในกรุงปารีส…เอ้า…ใครไม่เชื่อลองไปดูเอาเองก็แล้วกันนิ…

ลองย้อนรอยถอยกลับไปค้นหาบันทึกเก่าแก่สักฉบับเป็นไง คราวนี้เป็นบันทึกจากปูมเรือแมกเจลแลน สมัยปี พ.ศ. 2063 ในบันทึกกล่าวว่า

"….ในเดือนมิถุนายน ของปีพ.ศ. 2063 กองเรือสำรวจทวีปแมกแจลแลนได้แล่นเรือใบเข้าสู่ฝั่ง….(ปัจจุบันคือบริเวณชายฝั่ง "Port San Julian" ในประเทศอาเจนติน่า) ….ปรากฏมีมนุษย์ตัวโตยีนอยู่ริมหาดเป็นพวกคนป่าที่มีความสูงใหญ่มาก ถ้าวัดเทียบขนาดกับพวกเรา พวกเราคงสูงแต่เอวของมนุษย์พวกนั้น (พวกลูกเรื่อแมกแจลแลนมีความสูงเฉลี่ย 5 ฟุต ถึง 6 ฟุต) …. ลูก เรือได้จับพวกคนป่าร่างยักษ์ไว้ได้สองคนล่ามโซ่ตรวนนำกลับมากับเรื่อด้วย หวังว่าจะนำกลับไปยุโรป แต่เจ้าคนป่าร่างยักษ์ทั้งสองไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ เลยเสียชีวิตคาโซ่ตรวนในขณะเดินทางกลับ จึงต้องโยนศพทิ้งทะเลไป…"

ไงครับกระผม พอเห็นแนวโน้มริยังว่ารากษสมั้นมีจริง หรือมีความเป็นไปได้จริงแท้แค่ไหน ?….


นอก จากบันทึกโบราณจากปูมเรือแมกแจลแลนแล้วยังมีบันทึกปูมเรื่องที่น่าสนใจอีก ฉบับหนึ่งเป็นบันทึกจากการเดืนเรื่อของคณะสำรวจทวีปใหม่โดยหัวหน้าคณะชื่อ คอมโมดอร์ ไบรอน (Commodore Byron) ซึ่งเป็นกัปตันอาวุโสของกองเรือดอลฟิน (Dolphin) ได้ออกปฏิบัติการสำรวจดินแดนในแถบช่องแคบแมกแจลแลน ในปีพ.ศ.2307 และ ได้พบกับคนพื้นเมือง ที่มีรูปร่างใหญ่โตมหึมา ผิดมนุษย์มนาเข้าอย่างจัง กัปตันไบรอนได้บันทึกลงในสมุดปูมเรือสำรวจมีใจความตอนหนึ่งว่า….

"คน หนึ่งในพวกนั้น ซึ่งตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นหัวหน้าเผ่า ได้ตรงรี่มาหาข้าพเจ้า ซึ่งเดินนำหน้าคณะลงจากเรือบดขึ้นมาบนหาดทรายถึงชายป่าละเมาะพอดี…เขามีโครงร่างใหญ่โตมหึมาจริงๆ เขาสวมหนุงสัตว์บางชนิดพาดคาด คลุมไหล่ห้อยลงมใาปิดถึงต้นขา มีเชือกมัดคาดเอว…..ข้าพเจ้าไม้ได้วัดขนาดรูปร่างของเขาแต่ประมาณการเทียบกับตัวข้าพเจ้าซึ่งสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว เขาจะต้องมีความสูงประมาณ 8 ฟุตเป็นอย่างน้อย ….เมื่อ การพบปะที่น่ากลัวผ่านไปด้วยดี ต่างต้องใช้ภาษาใบ้และการคำนับน้อมเพื่อแสดงความเป็นมิตร เมื่อเขาพาไปที่หมู่บ้าน ที่พวกเขาอาศัย ก็พบคนที่มีรูปร่างใหญ่โต บางคนสูงถึง 14 ฟุต แม้ข้าพเจ้าจะยืนเขย่งและเอื้อมมือไปจดสุดแขน ยังไม่สามารถแตะคางของพวกเขาได้เลย ส่วนพวกผู้หญิงมีความสูง 8 - 10 ฟุตเท่านั้น"


ยัง ไม่ค่อยสะใจรึครับ บันทึกเก่าแก่เหล่านี้ท่านได้คิดว่าอาจมีการแต่งเติมเบิกเนตรกันก็ได้ใช่ไหม ล่ะ ถ้างั้นผมขอเอาบันทึกของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เป็นนักเดินทางสำรวจธรรมชาติ นักสัตว์ศาสตร์ และนักมนุษย์วิทยา ตัวยง ของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 มี การจดบันทึกแบบ "แพมแฟลต" (สมุดจดย่อเล็ก ๆ ) ส่วนตัวของเขา ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งในบันทึก ขณะที่เขาได้เดินทางไปสำรวจดินแดนแถว ๆ แหลม เกรกอรี (Cape Gregory) และได้ไปเจอเอาชนเผ่าดงดิบที่มีรูปร่างมหึมาเข้ากับตาตนเอง "พวกนี้มีความสูงใหญ่มากกว่า ชาวยุโรปทั้งหมดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ฟุต และมีบางคนสูงถึง 12 ฟุต ผู้หญิงก็มีความสูงในสัดส่วนพ่อ ๆ กับผู้ชาย นับว่าเป็นชนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น มาในชีวิต"

ยังครับ ยังมีหลักฐานการค้นพบ ราษสจริง ๆ อีกเยอะแยะที่สามารถนำมาตีแผ่นอนยันกันได้ ... ในปี พ.ศ. 2512 นักโบราณคดีขาวอิตาเลี่ยน ได้ขุดพบสุสานรากษส ซึ่งมีโครงกระดูกอยู่ 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโรงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผา ซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใด ๆ ไว้ให้เห็นเลย ขุดพบอยู่ในบริเวณตำบล Terracina อยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์ ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีได้ทำการตรวจสอบโดยละเอียด แล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า

"โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงที่สูงที่สุดวัดจากหัวกระโหลกถึงปลายเท้า สูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35 -40 ปี โดยประมาณ พวกเขาเหล่านี้ยังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเกือบทั้งหมด เราตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นอธิบายไว้อย่างหยาบ ๆ ว่า พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มา เป็นทาสทหาร และคงถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ แต่ที่น่าแปลกคือ เราไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใด ๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย..."


และยังมีตำนานของพวกอินเดียแดงในอเมริกาอีกเผ่าหนึ่งซึ่งเป็นเผ่าที่เก่าแก่มาก อยู่ทางเหนือ พวกนี้คือ เผ่า Sioux Indian จากหนังสือประวัติศาสตร์ชื่อ Ohio Historical and Archaelolgical Society Vol.2 ได้กล่าวถึงตำนานที่เล่าสืบถอดกันมาแต่โบราณว่า

"บรรพบุรุษ เคยอาศัยอยู่ในดินแดนป่าหนาวตอนเหนือ (แถบมินเนโซต้า) มาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน กาลครั้งนั้นก็ปรากฏมีพวกยักษ์สูงใหญ่ล่ำสันน่ากลัวบุรุกเข้ามาจากทางใต้ จึงเกิดการต่อสู้กันเวลาช้านาน พวกมนุษย์ยักษ์ทยอยกันเข้ามาแต่ก็ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ จนพวกมันหายสาบสูญไปในที่สุด "

จาก ตัวอย่างที่ยกมาโม้ มีทั้งตำนานเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์และการค้นพบ ทางโบราณคดี นี้ คงพอทำให้ท่านผู้อ่านมองเห็นความเป็นไปได้แล้วนะครับว่า รากษส หรือยักษ์ บนโลกนี้น่าจะเคยมีอยู่จริง ที่มาของเทพนิยาย ต่าง ๆ ของคนหลายชาติ หลายวัฒนธรรม นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่แต่งเติมให้สนุกสนานดูตื่นเต้น ด้วยจินตนาการ แต่เนื้อแท้อาจมีมูลเค้า ความจริงปนอยู่ด้วยก็เป็นได้ ว่าง ๆ ลองไปเที่ยววัดแจ้งหรือ วัดโพธ์แล้วลองไปดูยักษ์ตัวจริงที่นั้นซิครับ ลองพินิจให้ดี ถ้าสมมติว่าท่านเจอมนุษย์ที่หน้าตา เหมือนท่านนี้ แต่มีรูปร่างสูงใหญ่โตเท่านั้น ท่านจะคิดอย่างไร เขาควรจะเป็นคน หรือ รากษส กันแน่ ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น