วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ผีห่วงลูก

ฉันเป็นคนนอนดึกมาก บางทีถ้าเป็นวันศุกร์วันเสาร์ ที่เช้าวันรุ่งขึ้นไม่ต้องไปเรียนฉันก็ยิ่งจะไม่นอนเลยละ คนเรานี่ก็แปลกนะ ฉันสังเกตตัวเองว่า ถ้าง่วงก็มักจะง่วงตอนตีสองกว่าๆ แต่ถ้าเลยเวลานั้นไปแล้วก็จะตาสว่าง ไม่ต้องนอนกันละจนกว่าจะเที่ยงหรือบ่ายโน่น

เป็นเพราะพฤติกรรมวัย รุ่นแบบใหม่นี่เอง ที่ทำให้ฉันเจอประสบการณ์ขนหัวลุก!

บ้าน ฉันมีคนอยู่กันเยอะ ทั้งพ่อแม่ น้องๆ ตายาย ไหนจะคนใช้ คนสวน คนรถอีกเพียบ ฉะนั้นตอนกลางวันจึงมีกิจกรรมมากมาย ตอนกลางคืนที่ทุกคนเข้านอนกันหมด จึงเป็นเวลาที่เงียบสงบและฉันชอบมาก เพราะบ้านทั้งหลังเหมือนมีฉันอยู่เพียงลำพังกับเจ้าจังโก้ หมาพันธุ์ชิวาว่าตัวกะเปี๊ยก แต่มันดุมากเชียวถึงได้ชื่อจังโก้ไง! เวลาใครเดินผ่านหน้าบ้านมันจะเห่าเสียงแหลมดังขรม หน้าเล็กๆ ตาแป๋วๆ เขี้ยวขาวๆ น่ากลัวไม่เบา

บางคืนฉันออกมาเดินเล่นรอบบ้าน ชมแสงจันทร์ เจ้าจังโก้ก็จะวิ่งดุ๊กดิ๊กๆ ตามหลังเป็นบอดี้การ์ด ฉันต้องระวังไม่เผลอเหยียบมันให้เป็นโศกนาฏกรรม

คืนนั้น คืนสยองที่สุดในชีวิตของฉัน!


พระจันทร์สวยมาก เต็มดวงสวยแจ่มอยู่บนฟ้าไร้เมฆ อากาศก็เย็นสบาย เพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ฉันอดใจไม่ไหวต้องผละจากจอคอมพิวเตอร์เดินลงไปข้างล่าง บ้านมืดและเงียบฉันไม่เปิดไฟเลยสักดวง แถมพอออกจากประตูกระจกฉันก็ปิดไฟที่เทอเรซเสียด้วย

มันต้องอย่าง นี้สิถึงจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในแสงจันทร์งามอย่างเต็มที่...

แน่ นอน! เจ้าจังโก้ก็ตามติดมาอีกเช่นเคย พอฉันนั่งลงตรงโต๊ะหินข้างสนามมันก็นั่งด้วย ดูตัวนิดเดียว ฉันต้องอุ้มมันขึ้นมาวางบนโต๊ะ มันหมอบราบเอาคางเกยตีนหน้า ขณะที่ฉันดื่มด่ำกับความงามยามค่ำคืน และคิดว่าเดี๋ยวจะขึ้นไปบนห้อง ทำรายงานต่อซะที ยังไม่ง่วงเท่าไหร่ ไว้ไปนอนตอนบ่ายๆ แล้วกัน

ทันใดนั้น จังโก้เงยหน้าขึ้น หูตั้ง ตากลมโตตื่นตระหนก จ้องมองไปบ้านข้างๆ

บ้านนั้นอยู่ห่างจากที่ฉันนั่งไปราว 20 เมตร มีกำแพงอิฐกั้นอยู่ สองฝั่งของกำแพงเป็นสนามหญ้าบ้านฉันกับบ้านเขา เราปลูกไม้พุ่ม ไม้ยืนต้นคล้ายๆ กันทั้งสองบ้านคือ มะม่วง, แสงจันทร์และเฟื่องฟ้า แต่ต้นไม้เหล่านี้ไม่ได้บดบังตัวตึกจากสายตาเลย ฉันมองเห็นชั้นสองของเขาได้เต็มๆ ทั้งระเบียงและหน้าต่างห้องนอน และขณะนี้ฉันมองตามสายตาของเจ้าจังโก้ไปที่บริเวณชั้นสองนั่น เอ๊ะ! อะไร? ฉันเห็นผ้าขาวบางเบาผืนค่อนข้างใหญ่ โบกสะบัดพลิ้วอยู่ตรงระเบียงเหมือนมีใครเอามันมาตากไว้...แต่ไม่ใช่หรอก ถ้าเป็นผ้าตากมันต้องอยู่ตรงนั้นซิ แต่นี่มันลอยได้!

มันลอยเหมือน โคมไปรอบบ้านช้าๆ ดูเผินๆ คล้ายค้างคาวเผือกตัวมหึมา...

นั่น! มันลอยมาทางด้านที่ฉันมองอยู่ คุณพระช่วย! ฉันเห็นหัวที่มีผมยาวและใบหน้าขาวๆ...ไม่ต้องคิดนาน ต่อให้ปัญญาอ่อนยังไงก็รู้ว่านั่นน่ะ-ผี!!

เจ้าจังโก้เผ่นแผล็วเข้าบ้านไปก่อนฉันตั้งนาน กว่าฉันจะลุกขึ้นในอาการตกตะลึง เส้นสายที่ขามันแข็งตึงจนก้าวไม่ออก ฉันค่อยๆ ถอยหลังทีละน้อยๆ ตัวชา ขนลุกเห่อ ฉันถอยหลังเข้าบ้าน ดึงประตูกระจกปิด ล็อกกลอนและรูดผ้าม่านก่อนจะเผ่นขึ้นข้างบนเข้าไปในห้องนอนตัวเองและกด สวิตช์ไฟสว่างพรึ่บ ก่อนจะถลันไปที่หน้าต่าง รูดม่านปิดอย่างแรง

จังโก้หมอบซุกหมอนบนที่นอน ตัวสั่นอย่างน่าสงสาร ฉันดึงมันมากอด ทั้งปลอบและอาศัยมันเป็นเพื่อน...เรานอนซุกผ้าห่มกอดกันทั้งคืน หลับไปบ้างแล้วผวาลุกขึ้น รุ่งสางพอดี...

ฟ้าเรื่อเรือง ฉันแง้มม่านดู ไม่มีปีศาจที่ลอยรอบบ้านนั่นแล้ว แต่ในซอยที่พระสงฆ์เดินช้าๆ บิณฑบาต ฉันเผ่นลงไปข้างล่าง เจอป้าแช่มแม่ครัวก่อนใครเพื่อน

ป้า เมื่อคืนหนูเจอผีหลอก! พอฉันเล่าเท่านั้นแหละ ป้าแช่มตกอกตกใจ ตื่นเต้น ขนลุกเกรียว น้ำตาคลอ

โถ! คุณอ้อม...เธอคงไม่รอดแล้วละ

ใคร ล่ะคะคุณอ้อมน่ะ? คำตอบก็คือเป็นภรรยาคนสวยเจ้าของบ้านข้างๆ ฉันเอง มิน่าล่ะ ใบหน้าซีดเผือดและผมดำสนิทที่ฉันเห็นเมื่อคืนมันคุ้นๆ พิกล

คุณอ้อมไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล ได้ลูกสาวเป็นลูกคนแรกเมื่อสี่วันก่อน ลูกน่ะได้กลับบ้านแล้ว แต่คุณอ้อมเกิดติดเชื้ออาการหนัก ต้องอยู่ที่โรงพยาบาล

ใช่แล้วค่ะ คุณอ้อมสิ้นใจจากโลกมนุษย์ของเราไปเมื่อตอนกลางดึก วันนี้พ่อแม่ฉันต้องไปรดน้ำศพ ฉันไปด้วยไม่ไหวหรอก แต่ประสบการณ์ที่ฉันเห็นถูกเล่าปากต่อปากไปทั่ว

คุณอ้อมที่น่าสงสารห่วงลูกจนวิญญาณมาวนเวียนรอบบ้าน และไม่ใช่ฉันเท่านั้นที่เห็นเธอ กระทั่งสามีและแม่ตัว รวมทั้งแม่ผัวกับพี่เลี้ยงเด็กก็เห็นเสมอๆ ว่าคุณอ้อมยังห่วงลูก ไม่จากไปไหนจนเดี๋ยวนี้...ทุกค่ำคืน ฉันจะปิดม่านสนิท และไม่ลงไปเดินเล่นกลางราตรีอีกเลยค่ะ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น