ผมเป็นเด็กอุทัยธานีครับ เห็นใครๆ เขาอวดจังหวัดของเขามานานแล้ว วันนี้ผมขออวดจังหวัดตัวเองสักครั้งเถอะน่า
ชื่อจังหวัดลงท้ายว่าธานีนี่มีไม่กี่จังหวัดนะครับ พอได้ยินก็พอจะนึกภาพได้ว่าเป็นเมืองใหญ่โต เก่าแก่ และมีความสำคัญมากมายในอดีต บ้านผมน่ะขนาดมีหลักฐานยืนยัน ว่าจังหวัดนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว
กรมศิลปากรขุดพบทั้งโครงกระดูก และเครื่องมือหินกะเทาะจากหินกรวด ไหนจะพบภาพเขียนบนหน้าผา ที่เขาปลาร้าอีกล่ะ
ที่น่าขนลุกขนพองพอสมควรก็คือโครงกระดูกนี่แหละครับ!
เรื่องโครงกระดูกกับเรื่องผีๆ สางๆ น่ะมันหนีกันไม่พ้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะเด็กๆ เห็นโครงกระดูกก็นึกถึง..ผีมาตากลวงโบ๋! วิ่งกันป่าราบหรือแหกป่า วิ่งจนปอดอ้าแทบไม่คิดชีวิตกันเลยซีน่า
บอกตรงๆ ว่าบ้านผมผีดุนะ! ไม่ต้องไปถึงทุ่งนาป่าเขาหรอกครับ ในตัวเมืองนั่นแหละ มีทั้งวัดร้างทั้งป่าช้าเก่า เอ่ยชื่อวัดโคกซึ่งเป็นวัดร้างขึ้นมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนแต่ส่ายหน้าสั่นหัว ย่อมกลัวกันทุกคน บอกไม่เชื่อ!
วัดนี้อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรังครับ เขาว่าเป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีโน่นแน่ะ ต่อมาก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ภิกษุสามเณรเหลือน้อยลงทุกที จนล้มตายไปบ้าง อพยพไปอยู่วัดอื่นบ้าง ในที่สุดวัดโคกก็กลายเป็นวัดร้าง มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นร่มครึ้ม ไหนจะพวกพงอ้อกอหญ้ากับไม้เลื้อยต่างๆ ขึ้นเต็มไปหมด
ผู้ใหญ่เตือนนักว่าอย่าไปวิ่งเล่นแถวนั้น เคราะห์หามซวยจะโดนผีหลอกได้
สมัยเด็กๆ ผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันไปวิ่งเล่นครืนๆ คนเยอะเลยไม่ค่อยกลัวผี แถมเป็นกลางวันแสกๆ อีกด้วย นอกจากจะหยุดมองเจดีย์หักๆ มีกองอิฐสีแดงกองเกลื่อนโบสถ์แทบไม่เหลือรูปทรงแล้ว ศาลาการเปรียญก็ผุพังจนลงมากองกับพื้นดิน
เห็นแล้วรู้สึกสันหลังเย็นวาบๆ ชอบกลครับ
เพื่อนบางคนมันบอกว่าเคยเห็นพระแก่ๆ โผล่จากต้นไทรมายืนมองมันนิ่งๆ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรมาก มีวัดก็ต้องมีพระเป็นธรรมดา แต่เมื่อนึกได้ว่าเป็นวัดร้างมาหลายสิบปีแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าผีดุ มันเลยหันมาบอกเพื่อนๆ ให้ดูพระที่ต้นไทร
แหม! ลำพังต้นไทรอย่างเดียวก็น่ากลัวแล้วนะครับ รากห้อยระย้าที่เขาเรียกว่าม่านไทรย้อยนั่นน่ะ บางทีก็เห็นผู้หญิงผมยาวสยาย บางทีก็เห็นเป็นผู้ชายรูปร่างกำยำ หนักกว่านั้นคือเห็นคนเป็นโขยง!
ยิ่งบอกว่ามีพระอยู่ที่นั่นยิ่งขนลุก พอหันไปดูก็ไม่เห็นอะไร นอกจากรากไทรที่แกว่งไกวตามสายลม ยอดไม้สะบัดใบกราว ฟังราวกับเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนใหญ่ ต้องเผ่นกระเจิงซีครับ วันนั้น...แต่ไม่ช้าก็ลืมเลือนไปตามประสาเด็ก
จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!
เราไปเล่นดีดลูกหินกันแถววัดโคกราว 4-5 คน มีเจ้าหนอม เจ้าปื๊ด เจ้าดำกับเจ้าแหลม...คนหลังนี่ละครับที่มันอุตริเห็นพระโผล่มายืนหน้าต้นไทรวัดก่อนน่ะ
เมื่อคืนฝนตกหนักจนพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด เคยเล่นล้อต๊อกกันเลยเล่นไม่ได้ พื้นที่ไม่อำนวย จะเล่นซ่อนแอบกันก็ไม่ค่อยไว้ใจ..เดี๋ยวกำลังแอบอยู่ดีๆ เกิดจะเอ๋เข้ากับพระจีวรเหลืองอ๋อยเข้า มีหวังร้องจ้า เรียกหาพ่อแก้วแม่แก้วไปตามๆ ดีไม่ดีดันผ่าตกใจสุดขีดจนผมร่วงหมดหัวจะทำยังไง?
บรื๋อออ..เล่นรวมกลุ่มกันยังงี้เหละ ปลอดภัยไร้กังวล ถึงจะโดนผีหลอกก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมละเอ้า!
วันนั้นฟ้าครึ้มมาตั้งแต่บ่ายแล้ว พวกเรากลับเห็นว่าดีซะอีก ไม่ต้องเจอแดดร้อน ถ้าฝนเกิดเทลงมาเราก็วิ่งกลับบ้าน...เด็กบ้านนอกไม่ใช่น้ำตาลนี่ครับ จะได้กลัวละลาย
สรรพสิ่งเงียบเชียบน่าวังเวงใจ สายลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ฟังคล้ายเสียงใครกำลังทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเรากำลังสนุกกันจนลืมตัว ส่งเสียงหัวเราะเฮฮาอย่างสนุกสนาน
จู่ๆ เจ้าปื๊ดดีดลูกหินอีท่าไหนไม่รู้ กระเด็นหวือ..หายเข้าไปในซุ้มข่อยที่เป็นแอ่งตื้นๆ อยู่ข้างกอไผ่ เจ้าตัวเดินตามไปพลางบ่นพึมพำ เจ้าหนอมโพล่งขึ้นว่า ระวังผีหลอกนะมึง!
เจ้าปื๊ดหันมาด่า เจ้าดำกลับซ้ำเติมว่า...เดี๋ยวก็เจอพระเหมือนไอ้แหลมอีกคน
คราวนี้เจ้าปื๊ดไม่ต่อล้อต่อเถียง แหวกหญ้าลงก้มหน้าหาลูกหิน ก่อนจะหันขวับมาร้องลั่น...ช่วยด้วย! ผีหลอก! พวกเราหัวเราะกันใหญ่ เจ้าหนอมร้องว่าอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก! กลางวันแสกๆ ผีที่ไหนจะมาหลอกวะ?
ว่าแล้วก็วิ่งไปหา มีผมกับเจ้าแหลมเดินตาม...อ้าว? เจ้าหนอมร้องจ้า หงายหลังตึง ผมกับเจ้าแหลมหัวเราะก๊ากเลย...ไอ้สองคนมันสมคบกันหลอกเราแน่ๆ
ครั้นวิ่งไปเห็นภาพนั้น ผมรู้สึกหูอื้อตาลาย เสียงวิ้งๆ ดังขึ้นในสมองทันที...หันกลับได้ก็โกยอ้าวไม่คิดชีวิต เพื่อนอีกสามคนรั้งท้าย ร้องตะโกนโหวกโหวยเหมือนคนบ้าเพราะเราเห็นผีตาโบ๋กำลังอ้าปากผะงาบๆ หัวเราะเย้ยหยันเต็มตา
เมื่อพวกผู้ใหญ่รู้เรื่องพากันไปดู ก็ปรากฏว่าเป็นโครงกระดูกที่โดนฝนชะจนหัวกะโหลกโผล่พ้นดินขึ้นมา...ภาพนั้นยังติดตามาจนถึงป่านนี้เลยครับ! บรื๋อออ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น