ด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆ เขาใช้ค้อนและเครื่องมือขุด กระเทาะหินออกมาอย่างระมัดระวัง แทบไม่น่าเชื่อเลย สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็คือ รอยเท้าประทับเท้าข้างขวาของมนุษย์พร้อมด้วยตัวไทรโลไบต์ในหินก้อนเดียวกัน รอยประทับนี้คาดว่าเป็นรอยที่เจ้าของเท้าเหยียบลงไปในดินโคลน ซึ่งภูเขานี้เคยเป็นทะเลมาก่อน เวลาที่ผ่านไปก็ได้ทำให้ดินนี้แข็งเป็นหินและฝังรอยประทับเอาไว้ นี่มันอะไรกันครับคนที่ไหนถึงได้ไปมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับตัวไทรโลไบต์ 300 - ล้านปีก่อน... และที่มหัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้น อย่างที่ท่านสามารถเห็นได้ด้วยตาของท่านเองจากในภาพ เท้าข้างนั้นดันสวมรองเท้าเสียอีกแน่ะ
รอยเท้าดังกล่าวยาวประมาณ 10 นิ้ว เป็นเท้าขวาอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะรูปทรงของส่วนส้นเท้ามันชี้อยู่เห็นๆ แถมด้วยซากของตัวไทรโลไบต์ที่กับฝ่าเท้าอีก ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของรอยเท้าข้างนี้ เขาได้ทำกรรมขนานใหญ่คือเหยียบตัวไทรโลไบต์จนแบนแต๋ติดเท้า กลายเป็นหลักฐานรุ่นเก๋ากึ๊กให้คนรุ่นใหม่อย่างเราฉงนใจกันเล่นๆ
จากนั้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 1968 Antelope Spring ได้ถูกนักธรณีวิทยานาม Dr. Clifford Burdick เข้ามาสำรวจบ้าง ด้วยเวลาไม่นานนัก ดร.คลิฟฟอร์ด ก็ได้พบรอยเท้าของเด็กประทับอยู่ในหินเช่นกัน ท่านด็อกกล่าวว่า มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ได้พบรอยเท้าเช่นนี้ นี่เป็นรอยเท้าเด็กมีความยาวประมาณ 6 ฟุต ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ทางโบราณคดีเลยทีเดียว
ครั้งสุดท้ายที่ค้นพบ หลักฐานสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ เดือน กันยายน 1968 Mr. Dean Bitter แห่ง Salt Lake City public schools system ได้พบรอยประทับเท้าแบบเดียวกันอีกสองรอยในบริเวณ Antelope Spring คราวนี้ไม่ยักกะมีไทรโลไบต์แบนแต๋ติดอยู่ครับ แต่พบไทรโลไบต์และสัตว์น้ำตัวเล็กๆอีกหลายชนิดกลายเป็นหินฝังอยู่ในก้อน เดียวกัน ...คนจากโลกนี้หรือโลกไหนครับที่มาฝากรอยเท้าเอาไว้บนโลก ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ หึ หึ อย่าบอกนะว่าพี่หนุ่ยอำพล...
ในปี 1908 ณ ไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีที่ Glen Rose มลรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นแหล่งขุดค้นหลักฐานที่สำคัญในยุคครีเตเชียส(Cretaceous; dating from 135 million to 65 million years ago) นักสำรวจได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้โลกต้องหันมาทบทวนทฤษฎีวิวัฒนาการ เสียใหม่ มันเป็นรอยเท้าของมนุษย์โบราณขนาดมหึมา ซึ่งประทับอยู่บนพื้นที่กลายเป็นหิน นั่นคงไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ถ้าหากว่า บริเวณใกล้ๆรอยประทับเท้านั้นไม่มีรอยเท้าของกิ้งก่าโบราณบางชนิด ที่เราเรียกว่าไดโนเสาร์รวมอยู่ด้วย...
Clifford L. Burdick และ Roland T. Bird นักโบราณคดีได้ทำการสำรวจรอยเท้าดังกล่าวอย่างใกล้ชิด Bird เป็นนักชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ยุคโบราณ หลังจากทำงานอย่างหนักถ้อยแถลงที่ทีมสำรวจนี้มีต่อ American Museum of Natural History ได้ทำให้ใครต่อใครพากันอึ้งไปหมดครับ เพราะตรงรอยประทับเท้าดังกล่าว นอกจากรอยเท้ามนุษย์แล้วยังมีรอยขนาดใหญ่ที่เจ้าของเท้ามีนิ้วเท้าสามนิ้ว ประทับซ้อนกันอยู่ ครับ มันเป็นรอยเท้าของสัตว์โบราณไดโนเสาร์ไม่ผิดแน่ และจากการวัดอายุ รอยเท้าทั้งสองอยู่ในยุคสมัยเดียวกันครับไม่ได้เกิดจากการทับรอยเมื่อเวลา ผ่านไปอย่างที่หลายๆคนกำลังคิดอยู่ แปลกดีแฮะ
จะไม่แปลกได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อไดโนเสาร์น่ะมีอยู่ในยุคครีเตเชียสและจูราสสิค ตั้ง 135-65 ล้านปีที่ผ่านมาแล้วนะครับ ส่วนมนุษย์นั้นเพิ่งจะมามีตัวตนเมื่อประมาณ 4 ล้านปีที่ผ่านมานี่เอง ไกลกันจนสุดกู่ การพบว่ามนุษย์(หรืออย่างน้อยก็สัตว์จำพวกมนุษย์)กับไดโนเสาร์เป็นสิ่งมี ชีวิตร่วมสมัยกันเนี่ย แทบจะหักล้างทฤษฎีวิวัฒนาการไปจนหมดสิ้น นักวิทยาศาสตร์จากหลายวงการคิดกันหัวแทบแตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะยิ่งนานวันหลังฐานที่พบก็สร้างความงุนงงให้กับพวกเขามากขึ้นทุกที (หลักฐานทั้งหลายผมจะค่อยๆเอามาให้ชมในบทถัดๆไปครับ) นายโซนิคก็อยากจะบอกพวกเขาล่ะนะครับว่าอย่าคิดมาก ให้ปลงแล้วก็หันหน้าเข้าวัดซะอะไรๆอาจจะดีขึ้น ปู้โธ่... ศาสนาพุทธของเรารู้มาตั้งนานแล้วสำหรับเรื่องนี้ พระพุทธองค์เองก็ยังเคยตรัสไว้ว่า โลกของเรานี้เคยมีอารยธรรม เคยมีมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดแล้วก็แตกดับถึงแก่กาลล่มสลายมานับ ไม่ถ้วน หัดไปศึกษาเรื่องวัฏสงสารมั่งนะท่านด็อกทั้งหลาย เผื่อจะได้เห็นทางสว่างขึ้นมาบ้าง
ยังมีกระทาชายนามว่า Max Han ชอบใช้เวลาในวันหยุดไปตกปลากับครอบครัวของเขาที่ Texas มีอยู่วันหนึ่งเขาได้พบกับหินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญบริเวณริมตลิ่ง Han รู้สึกประหลาดใจกับอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับแท่งไม้ที่โผล่ออกมาจาก หินก้อนหนึ่ง มันดูเก่าและเหมือนฟอสซิลของไม้ ด้วยความอยารู้เขาจึงงัด ขุด และนำเอาหินก้อนนั้นออกมา เมื่อเจาะหินออกมาได้ Han ก็พบกับเครื่องมือโบราณชิ้นหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายฆ้อนอย่างที่เห็นในภาพ Han นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเพราะเขาเองก็ไม่สันทัดกรณีมากนัก แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นของเก่าครับ... เขาคิดไม่ผิดเลย เพียงแต่ว่าอายุของฆ้อนนั้น มันดันเก่ากว่าที่ Hanจินตนาการเอาไว้มาก
ด้ามของฆ้อนมีลักษณะคล้ายไม้ที่กลายเป็นควอทซ์ ส่วนตัวหัวนั้น ผลการวิจัยจาก ห้อง Lab Betel บอกว่า มันมีส่วนประกอบของแร่ที่ดูแปลกไปจากปัจจุบัน คือ เหล็ก 96% คลอรีน 2.6% กับกำมะถัน 0.74 % แต่ไม่ยักกะมีคาร์บอน สิ่งที่แปลกเอามากๆก็คือ ภายใต้กาลเวลาที่เปลี่ยนไป หัวของฆ้อนไม่ปรากฏสนิมเหล็กให้เห็นเลย เพราะว่าโลหะที่ใช้ทำผ่านการถลุงจนกลายเป็นโลหะผสมที่บริสุทธิ์มาก แถมในเนื้อโลหะก็แน่นไม่มีฟองอากาศแม้สักนิดเดียว
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เจ้าฆ้อนโบราณด้ามนี้แม้จะเป็นอุปกรณ์ง่ายๆ แต่มันถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีสูงมาก แม้แต่การหลอมหัวฆ้อนให้บริสุทธิ์และปราศจากฟองอากาศ ปัจจุบันเทคโนโลยีในวงการอุตสาหกรรมยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วฆ้อนด้ามนี้มีอายุเท่าไหร่กันนะ? คำตอบไม่ยากเลยครับเพราะหินที่ฆ้อนนี้ฝังอยู่ เป็นดินที่กลายเป็นคอนกรีตที่วัดอายุได้ง่ายมากมันอยู่ในยุคครีเตเชียสต อนปลาย ซึ่งตำราเรียนของเราบอกว่า อยู่ในช่วงเวลา 140ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว ในช่วงที่ไดโนเสาร์ยังครองโลกอยู่... ในเมื่อ 140ล้านปีก่อนยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเกิดขึ้นมาในโลก ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนทำฆ้อนอันนี้ขึ้นมาล่ะครับ? ไดโนเสาร์เหรอ? คงเป็นภาพที่ดูไม่จืดจริงๆถ้าเวโลซีแรพเตอร์ เที่ยวไล่ล่าหาอาหารด้วยการแบกฆ้อนยักษ์อันนี้ไปไล่ทุบหัวเหยื่อ ว่าแต่นิ้วแบบนั้นของไดโนเสาร์จะแบกฆ้อนได้ยังไงก็ไม่รู้สินะ ส่วนคำตอบที่ว่าฆ้อนอันนี้ใครเป็นคนทำและใครเป็นคนใช้นั้น นายโซนิคคิดว่าทุกท่านน่าจะได้คำตอบเลาๆอยู่ในใจบ้างแล้ว
เทคโนโลยีจิ๋วอายุแสนปี
เอาล่ะครับ ดูฆ้อนยักษ์กันมาแล้วทีนี้เราลองมาดูของขี้ปะติ๋วกันสักหลายๆชิ้นดีไหมครับ เป็นวัตถุโบราณที่คาดอายุว่าจะอยู่ในยุคเพลสโตซีน (Pleistocene: ประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว) วัตถุในภาพที่เห็นขุดพบบริเวณเทือกเขายูราลในรัสเซีย จากรายงานเท่าที่ได้ในปัจจุบันโดยสถาบัน Central Scientific Research Institute for Geology and Prospecting for Precious and Non-Ferrous Metals (ZNIGRI) (ชื่อยาวจริงๆ..) ในมอสโคว์กล่าวว่า ชิ้นส่วนต่างๆที่ขุดพบนั้นน่าจะเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่มาจากต่างดาว หลังจากต้นปี 1990 เป็นต้นมา ได้มีการสำรวจบริเวณนั้นอย่างกว้างขวางและพบวัตถุปริศนาอีกมากมายหลายชิ้น โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำ Narada, Kozim, และ Balbanyu ในบริเวณเทือกเขายูราลด้านตะวันออก วัตถุเล็กๆดังกล่าวถูกขุดพบมากมายนับพันชิ้น โดยมากจะพบในชั้นดินที่ลึกลงไปประมาณ 10 -40 ฟุต
วัตถุประหลาดดังกล่าวมีขนาดที่น่าทึ่งมากครับ คือตั้งแต่ใหญ่สุดประมาณ 3 เซ็นติเมตรจนถึงเล็กสุดซึ่งมีขนาดเพียง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 1/10,000 นิ้วนั่นเชียว ก็ดังที่เห็นในภาพแหละครับ วัตถุพวกนี้มีลักษณะเป็นเกลียวจิ๋วและตอนแรก นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันใช้ทำอะไรได้ มีนักโบราณคดีบางคนตั้งทฤษฎีว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง โธ่เอ๋ย... ใครกันครับจะทำเครื่องประดับจิ๋วมหาจิ๋วแบบนี้ออกมาใส่กัน ครั้งจะเป็นเครื่องกลหรืออะไรเทือกนั้นมันก็เล็กไปอีกนั้นแหละ หลายชิ้นมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น นับเป็นนาโนแม็คคานิคส์โดยแท้เลยครับ วัตถุดังกล่าว ทำมาจากโลหะผสมหลายประเภทส่วนใหญ่จะเป็นทังสเตน โมลิบดินัม และทองแดง ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าทังสเตนและโมลิบดินัมเป็นโลหะที่มีน้ำหนักอะตอมมาก มีจุดเดือดสูง การจะหลอมและผสมนำมาใช้งานจำต้องใช้ความร้อนมหาศาลและเทคโนโลยีทาง อุตสาหกรรมที่สูงมาก เพราะแม้ในปัจจุบันเราก็ยังใช้โลหะสองประเภทนี้ในอุตสาหกรรมบางอย่างเท่า นั้น (เช่นในอุตสาหกรรมหลอดไฟฟ้า หรือ การผลิตยุทโธปกรณ์) Dr. Valerii Ouvarov แห่ง the Russian Academy ofSciences ในเซนต์ปีเตอสเบิร์กได้ทำการวิเคราะห์วัตถุลึกลับเหล่านี้ และก็ได้แต่ส่ายหน้าเนื่องจากความสนเท่ในที่ไปที่มาของมัน
ปัจจุบัน เราทราบกันเพียงว่า วัตถุชิ้นจิ๋วดังกล่าว น่าจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าในปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามันถูกนำมาใช้ทำหน้าที่อะไรเมื่อครั้งกระโน้น แต่อายุอานามของมัน ถูกแถลงจากนักวิทยาศาสตร์รัสเซียว่า มีช่วงอายุอยู่ราวๆเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนอย่างแน่นอน
เทคโนโลยีจิ๋วอายุแสนปี
เอาล่ะครับ ดูฆ้อนยักษ์กันมาแล้วทีนี้เราลองมาดูของขี้ปะติ๋วกันสักหลายๆชิ้นดีไหมครับ เป็นวัตถุโบราณที่คาดอายุว่าจะอยู่ในยุคเพลสโตซีน (Pleistocene: ประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว) วัตถุในภาพที่เห็นขุดพบบริเวณเทือกเขายูราลในรัสเซีย จากรายงานเท่าที่ได้ในปัจจุบันโดยสถาบัน Central Scientific Research Institute for Geology and Prospecting for Precious and Non-Ferrous Metals (ZNIGRI) (ชื่อยาวจริงๆ..) ในมอสโคว์กล่าวว่า ชิ้นส่วนต่างๆที่ขุดพบนั้นน่าจะเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่มาจากต่างดาว หลังจากต้นปี 1990 เป็นต้นมา ได้มีการสำรวจบริเวณนั้นอย่างกว้างขวางและพบวัตถุปริศนาอีกมากมายหลายชิ้น โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำ Narada, Kozim, และ Balbanyu ในบริเวณเทือกเขายูราลด้านตะวันออก วัตถุเล็กๆดังกล่าวถูกขุดพบมากมายนับพันชิ้น โดยมากจะพบในชั้นดินที่ลึกลงไปประมาณ 10 -40 ฟุต
วัตถุประหลาดดังกล่าวมีขนาดที่น่าทึ่งมากครับ คือตั้งแต่ใหญ่สุดประมาณ 3 เซ็นติเมตรจนถึงเล็กสุดซึ่งมีขนาดเพียง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 1/10,000 นิ้วนั่นเชียว ก็ดังที่เห็นในภาพแหละครับ วัตถุพวกนี้มีลักษณะเป็นเกลียวจิ๋วและตอนแรก นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันใช้ทำอะไรได้ มีนักโบราณคดีบางคนตั้งทฤษฎีว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง โธ่เอ๋ย... ใครกันครับจะทำเครื่องประดับจิ๋วมหาจิ๋วแบบนี้ออกมาใส่กัน ครั้งจะเป็นเครื่องกลหรืออะไรเทือกนั้นมันก็เล็กไปอีกนั้นแหละ หลายชิ้นมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น นับเป็นนาโนแม็คคานิคส์โดยแท้เลยครับ วัตถุดังกล่าว ทำมาจากโลหะผสมหลายประเภทส่วนใหญ่จะเป็นทังสเตน โมลิบดินัม และทองแดง ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าทังสเตนและโมลิบดินัมเป็นโลหะที่มีน้ำหนักอะตอมมาก มีจุดเดือดสูง การจะหลอมและผสมนำมาใช้งานจำต้องใช้ความร้อนมหาศาลและเทคโนโลยีทาง อุตสาหกรรมที่สูงมาก เพราะแม้ในปัจจุบันเราก็ยังใช้โลหะสองประเภทนี้ในอุตสาหกรรมบางอย่างเท่า นั้น (เช่นในอุตสาหกรรมหลอดไฟฟ้า หรือ การผลิตยุทโธปกรณ์) Dr. Valerii Ouvarov แห่ง the Russian Academy ofSciences ในเซนต์ปีเตอสเบิร์กได้ทำการวิเคราะห์วัตถุลึกลับเหล่านี้ และก็ได้แต่ส่ายหน้าเนื่องจากความสนเท่ในที่ไปที่มาของมัน
ปัจจุบัน เราทราบกันเพียงว่า วัตถุชิ้นจิ๋วดังกล่าว น่าจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าในปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามันถูกนำมาใช้ทำหน้าที่อะไรเมื่อครั้งกระโน้น แต่อายุอานามของมัน ถูกแถลงจากนักวิทยาศาสตร์รัสเซียว่า มีช่วงอายุอยู่ราวๆเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนอย่างแน่นอน
นี่คือ... ขั้วไฟฟ้าสมัยครึ่งล้านปีที่แล้ว...
เป็นวัตถุประหลาดอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ทราบที่มาของมัน มันถูกห่อหุ้มด้วยดินที่กลายเป็นหินมากว่าครึ่งล้านปี เจ้าวัตถุชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ the Coso artifact ถูกค้นพบที่ยอดเขาในแคลิฟอร์เนีย ลักษณะของมันเหมือนขั้วไฟฟ้าหรือปลั๊กอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำมาจากโลหะแข็งและเปล่งประกาย นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยมันบอกว่า เจ้าวัตถุชิ้นนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีเดียวกับการสร้างซูเปอร์คอนดัคเตอร์ หรือตัวนำยิ่งยวดในปัจจุบัน เป็นที่น่าเสียดายครับ ที่บริเวณนั้นไม่มีใครพบหลักฐานอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้เงื่อนงำพอที่จะคลำทางไปสู่ต้นกำเนิดของขั้วไฟฟ้า อายุห้าแสนกว่าปีนี้ได้
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น