วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นาซก้า อารยธรรมยุคพระเจ้าอวกาศ

บนแถบยอดเขาแอนดีสแห่ง ทวีปอเมริกาใต้ ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณที่แห้งแล้งที่สุดในโลก มีที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของปริศนาชิ้นเบ้อเริ่มชิ้นหนึ่งของโลก ปริศนาที่ว่าเราๆท่านๆจะคุ้นเคยกันดีกับภาพอันมหึมาของลายเส้นบนพื้นโลก นาซก้า คือชื่อของที่ราบแห่งนั้น 








ที่ราบนาซก้าปัจจุบันอยู่ในดินแดน ของทวีปเปรู ซึ่งประเทศนี้ได้มีปริศนามากมายทิ้งเหลือไว้ให้โลกได้ขบคิด เช่นเรื่องของอารยธรรมอินคา ที่มีเทวสถานอันโอฬารและมั่งคั่งไปด้วยทองคำ ความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมของชนเผ่านี้เรียกได้ว่าคือหนึ่งในความ มหัศจรรย์ของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งนอกจากเมืองของชาวอินคาแล้ว

ก็มีที่ราบนาซก้านี่แหละครับที่นักโบราณคดีพากันสนใจ เพราะที่ราบดังดังกล่าว ได้ปรากฏคลองหรืออะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงยาวเหยียด ลากไปมากลายเป็นรูปเรขาคณิตหน้าตาท่าทางประหลาด และที่สำคัญคือรูปพวกนี้ สามารถมองเห็นได้เฉพาะจากทางอากาศเท่านั้น เรียกว่าต้องอยู่บนเครื่องบินนั่นแหละครับ ถึงจะพอมองเห็นเป็นรูปร่าง ข้อนี้เองที่ทำให้หลายต่อหลายคนสงสัยกันว่า คนโบราณ(ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใคร)ที่สร้างลายเส้นเหล่านี้ขึ้นมา เขามีจุดประสงค์ใดหนอ ถึงได้สร้างภาพลายเส้นที่มองเห็นได้จากเฉพาะทางอากาศนี้ขึ้นมา ทั้งที่สมัยนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะมีเครื่องบินใช้สักนิด นักโบราณคดีบางคนเรียกลายเส้นเหล่านี้ว่าสนามบินโบราณครับ เพราะมันคล้ายกับรันเวย์ของสนามบินเสียจริงๆ







ดิน แดนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกันดาร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีฝนตกเอาเสียเลยนี่ครับ ในช่วงปี 1960 ได้เกิดอุทกภัยขึ้นบริเวณแม่น้ำแถบนั้น เป็นผลให้ตลิ่งและบริเวณริมฝั่งแม้น้ำ Ica ถูกกัดเซาะ ตอนนั้นเองแหละครับที่หินจำนวนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดขึ้นมาบริเวณฝั่ง นักโบราณคดีคาดว่าหินเหล่านี้อาจถูกฝังอยู่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว และโผล่หน้าออกมาเพราะแรงเซาะจากกระแสน้ำ พวกเขาเรียกมันว่า Ica Stones ตามแหล่งที่ค้นพบครับ



แล้วหินพวกนี้มันน่าสนใจยังไงเหรอ? อืมห์... จะว่าไปมันก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ ก็แค่หินก้อนกลมเกลี้ยงที่มีภาพสลักของคนโบราณสลักเอาไว้อย่างที่ท่านเห็นใน รูปเท่านั้นแหละ แต่ว่านะครับ เจ้ารูปที่อยู่บนก้อนหินพวกนี้ มันก็พิลึกกึกกือผิดยุคอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งเป็นรูปของกิจกรรมทางการแพทย์ เช่นผ่าตัด มีรูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศเมื่อ 13,000,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง หา? ให้ผมทวนตัวเลขของปีเหรอครับ ได้สิ 13 ล้านปีไงครับ ก่อนหน้ายุคหินในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งนานนมเลยคุณ เห็นไหมล่ะ ว่าก้อนหินพวกนี้มันพิลึกอย่างที่ผมบอกจริงๆ



ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้ Ica Stone นับเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนแกะสลักมันเอาไว้เมื่อไหร่ และแกะเอาไว้ทำไม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นทฤษฎีการเคลื่อนตัวของทวีป ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งยอมรับแล้ว ว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน ทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกา ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น และการที่มันไปปรากฏในมรดกของคนโบราณเช่น แผนที่ปีเรรีส หรือ ไอก้า สโตน ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อก่อน ยังมีมนุษย์ส่วนหนึ่งที่อาจจะอาศัยอยู่ก่อนหรือ รอดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในครั้งกระโน้น แต่ว่า ครั้งกระโน้นมันตั้งหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้วเชียวนา...



ดร.Javier Cabrera นักฟิสิกข์ชาวเปรูผู้เป็นหนึ่งในทีมศึกษาไอก้าสโตนได้พบภาพของปลาที่สูญ พันธุ์ไปแล้วบนหินก้อนหนึ่ง เขาสนใจมันเอามากๆ จนชาวเมืองในแถบนั้นคนหนึ่งรู้เข้า ก็เลยเชิญ ดร.Cabrera ไปดูสิ่งที่เขาสะสมเอาไว้ Javier Cabrera เรียกสิ่งนั้นว่าพิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดครับ เพราะมันเป็นคอเล็คชั่นสะสมก้อนหินและรูปปั้นโบราณนับหมื่นชิ้น มีขนาดนับตั้งแต่มะเขือเทศลูกเล็กๆไปจนถึงลูกบาสเก็ตบอลนั่นเชียว



ใน บรรดาคอลเล็คชั่นที่ Javier Cabrera ได้ไปศึกษาส่วนหนึ่งเป็นรูปปั้นของสัตว์หน้าตาประหลาดๆอย่างที่เห็นในภาพ เขาคิดว่าสัตว์พวกนี้ น่าจะเป็นรูปของสัตว์ที่เคยมีตัวตนมากกว่าจะทำออกมาในรูปของงานศิลปะ มันเหมือนไดโนเสาร์เอามากๆ นอกจากรูปปั้นดินเผาแล้ว หินแกะสลักลักษณะเดียวกับไอก้าสโตน ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แล้วก็มีลวดลายที่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเสียด้วยสิครับ



Dr. Cabrera ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ ของแผนที่ที่เขาพบในส่วนหนึ่งของหินดังกล่าว เพราะเขาต้องการพิสูจน์ว่า ภาพแผนที่โลกที่อยู่บนหินไอก้าแห่งเปรูนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอนหรือไม่ Dr. Don Patton นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยกรุงลิมา ประเทศเปรู ได้ร่วมมือกับ Cabrera ในการศึกษาแผนที่ดังกล่าว เขารู้สึกประหลาดใจกับทวีปต่างๆที่แสดงบนแผนที่ มันเป็นส่วนของแผ่นดินที่คุ้นเคยเอามากๆ แต่ตำแหน่งผิดไปจากปัจจุบันอยู่บ้าง แน่นอนครับ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้จึงลงความเห็นหลังจากที่ค้นคว้าอยู่นานว่า เป็นปรกฏการณ์ที่อธิบายได้ยาก เขาให้คำอธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่าภาพแผนที่นั้น คือสภาพของโลกเมื่อ 13 ล้านปีก่อนอย่งแน่นอน



จากการศึกษาอย่างยาวนานของ Dr.Cabrera เกี่ยวกับไอก้าสโตนและรูปปั้นดินเผา เขาได้ข้อสรุปออกมาโดยสังเขปดังนี้



คอ ลเล็คชั่นที่เขาเรียกว่าห้องสมุดนั้น สะสมไปด้วยบันทึกบนก้อนหินที่แตกต่างกันไป มีหลากหลายหัวเรื่องและสาขาวิชา เช่น การแพทย์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์โบราณ เป็นต้น

มันมาจากอารยธรรม โบราณที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการอย่างเหลือเชื่อ ความรู้ของอารยธรรมนี้สร้างหลายๆสิ่งที่ใกฃ้เคียงกับปัจจุบัน เช่น พาหนะที่เป็นนกเหล็ก ซึ่งน่าจะหมายถึงเครื่องบินหรืออากาศยาน ความก้าวหน้าทางการแพทย์ มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ การศัลยกรรมสมอง พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ก้าวหน้า รวมไปวิชาธรณีวิทยาที่รวบรวมเอาแผนที่ สภาพทางภูมิศาสตร์โลกและการเกษตรกรรมบางประการ

อย่างเหลือเชื่อ โลกในคำบรรยายจากคอลเล็คชั่นเหล่านั้นมีดวงจันทร์สองดวง ดวงหนึ่งมีลักษณะเหมือนดาวเทียมมากครับ มีหินอยู่สี่ก้อนที่แสดงสภาพภูมิประเทศของทวีปต่างๆที่มองลงมาจากที่ สูง(หรืออาจจะเป็นชั้นบรรยากาศ) น่าแปลกใจมากครับเพราะนอกจากทวีปที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันแล้ว ยังมีส่วนของทวีปที่ไม่มีใครรู้จักรวมอยู่ด้วย เป็นไปได้ไหมว่ามันคือทวีปแอตแลนติส หรือ มู ที่เรากำลังตามรอยอยู่ในปัจจุบัน

ผู้คนในอารยธรรมดังกล่าวรู้ถึงหายนะ ที่จะมาถึงโลก (ไม่แน่ใจว่าจะมาจากสาเหตุอะไรครับ เพราะท่านด็อกได้คอลเล็คชั่นไม่ครบพอที่จะทราบเรื่องราวอย่างสมบูรณ์ได้ อาจจะเป็นดาวหางหรือน้ำท่วมโลก แผ่นดินไหว อะไรประมาณนั้น) พวกเขาอาจจะทั้งหมดหรือชนชั้นปกครองบางส่วนได้อพยพไปจากโลกนี้ มีส่วนหนึ่งของบันทึกที่กล่าวถึงกลุ่มดาวที่ปัจจุบันเรารู้จักกันในนามของ ดาว Pleiades ดร.Cabrera ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ภาพแกะสลักบนไอก้า สโตน อาจเป็นตัวอย่างที่ดีของหลักฐานที่ว่า เมื่อหลายล้านปีก่อนมีอารยธรรมอันรุ่งเรืองตั้งอยู่บนโลกนี้ พวกเขาได้ทิ้งหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบว่า สมัยก่อนมนุษยชาติดำรงชีวิตอยู่อย่างไร มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดไหนและสุดท้ายล่มจมลงด้วยวิธีใด

รูปปั้นดิน เผาบางส่วน มีลักษณะคล้ายมนุษย์ สันนิษฐานว่าอาจเป็นผู้ปกครองหรือเทพเจ้าที่คนในดินแดนนี้เคารพนับถือ และรูปร่างของรูปปั้นมีลักษณะของกระโหลกที่ยาวผิดปกติ จนทำให้นักโบราณคดีอดที่จะเอาไปเชื่อโยงกับหัวกระโหลกแบบ Cone Head ที่กล่าวถึงมาแล้วด้วย

ข้อสรุปของท่านด็อกเตอร์อาจจะฟังดูเหลือเชื่อสัก หน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักฐานทางวัตถุก็ยืนยันอยู่ มีบางคนแย้งว่า ไอก้าสโตนอาจจะเป็นฝีมือของอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งแกะสลักขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพบางภาพมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนและชวนให้เข้าใจผิดๆ เช่น ภาพของการศัลยกรรมสมองเป็นต้น มันอาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนาสักอย่างหนึ่ง เช่น การทำมัมมี่หรือพิธีศพ ซึ่งก็ไม่เหมาะนักที่เราจะสรุปอะไรลงไปตรงนี้ก่อนได้หลักฐานที่ละเอียดกว่า ที่เป็นอยู่ ถึงกระนั้น หากเอาอารยธรรมนาซก้า ไอก้าสโตน และความรุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมของชาวอินคา(เช่นความรู้ทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรม) มาเชื่อมโยงกันเข้าแล้ว ไม่ต้องให้ถึงมือนักวิทยาศาสตร์ห-ย่-า-ยหรอก คนธรรมดาอย่างพวกเราก็พอจะมองเห็นรอยต่อของสิ่งเหล่านี้อยู่รางๆเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ?







ลายเส้นบนพื้นราบ

ใน ที่ราบนาซก้าประเทศเปรู มีภาพวาดที่กว้างใหญ่และมีเบาะแสที่น้อยยิ่ง คนแรกที่ทำการศึกษารายละเอียดของมันเป็นชาวอเมริกันชื่อ พอล โคซอค ผู้ที่ได้ยินเรื่องลายเส้นนี้ขณะออกทำการสำรวจระบบชลประทานโบราณอยู่ เช่นเดียวกับผู้คนที่มาพิสูจน์เรื่องราวที่ได้ยินเกี่ยวกับลายเส้นนี้ โคซอครู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น มีเส้นที่ลากแตกแขนงออกไปเป็นรูปพัดนับพันเส้นลากข้ามทะเลทราย บางเส้นสิ้นสุดที่ตีนเขา ขณะที่อีกลายเส้นลากยาวไปไกลพาดข้ามภูเขา มันถูกสร้างอย่างง่ายๆด้วยการเจาะผิวดินชั้นบนออกจากดินบนทะเลทรายและเผยให้ เห็นดินชั้นล่างที่สีอ่อนกว่า หลังจากที่เขาพยายามจะตามรอยเส้นบนพื้นดินเขาก็เปลี่ยนไปเป้นใช้เครื่องร่อน แทน มีเพียงบนอากาศเท่านั้นที่เขาสามารถชื่นชมการแผ่ขยายของมันได้อย่างแท้จริง นอกจากลายเส้นชุดนี้ก็ยังมีรูปภาพอื่นๆอีกมากมาย เช่นนก ปลา แมลง และเป็นที่น่าพิศวงที่สุดที่แต่ละรูปถูกวาดอย่างต่อเนื่องบนเส้นเดียว มันเริ่มต้นและสิ้นสุดลงที่จุดเดียวกัน นาซก้าไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดท ี่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล





นัก โบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ในยุค 100 ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700 นาซก้าไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าชาวอินเดียนแดงโบราณสร้างมันขึ้นมาทำไม ? ในปี ค.ศ.1968 สถานบันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในจุดระหว่างกลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตกในวันเวลาที่มันอยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด ตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับ การศึกษาลายเส้นนาซก้า ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรูยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซก้าโบราณจึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็น และผู้คนจะเห็นนาซก้าไลน์ก็ต่อเมื่อมองลงมาจากอากาศเท่านั้น



คนสำคัญ ที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซก้าไลน์ถึง 25 ปีคือ มาเรีย ไรเช่ เธอได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอเรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูงทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์ โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อน กับความสนับสนุนจากสถาบันเนชั่นแนลจีโอกราฟิคช่วยเหลือในงานของเธอ ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ ถ้าจะสันนิษฐานว่าเกิดจากความคิดของนักเรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่งก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โตและที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า เขาต้องการจะบอกอะไร และดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศด้วยรูปทรงเรขาคณิตแบบ สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง



ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการ กสิกรรมของนาซก้าซึ่งสามารถยืนมองจากหุบเขาอินเกนิโอ ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ว่ามันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกันเช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์ นอกจากสันนิษฐานว่าอาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการชลประทาน “ ลายเส้นทั้งหมด “ มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต “ เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น “



ชาว นาซก้าจะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้ เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ 1 ไมล์ สงสัยกันว่าจะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าวแบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่าเป็นเหตุผลลายเส้นที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิงในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชินซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซก้าซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมาเป็นว่าลิงตัวนี้ มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5 นิ้วและหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไป แทนที่จะห้อยลงตามธรรมชาติวิสัยของลิงชนิดนี้



บริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซก้าโบราณดังกล่าว มากมาย ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่ 3ก็มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกันกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดงนาซก้าที่นี้มาถึงรูป นก ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดีลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่าเป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18 ภาพที่แจ่มชัดเป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเลซึ่งยาวถึง 450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว



อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า “ เราแน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนกประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ ศิลปินเขียนขึ้น เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน โดยเขียนภาพขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น “เครื่องหมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึงที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏ ในทะเลทราย ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิต



ดร. ซอว์เยอร์กล่าวว่า “ ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปินจากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึง ความคิดของผู้แร้นแค้น สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ “ อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุมที่มีความยาวถึง 150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย และซากของมันค่อยๆ เลือนหายไป ลายเส้นนี้กำลังถูกทำลายในปัจจุบัน จากพายุทรายบ้าง รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซก้าไลน์ ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว มันอาจเป็นสนามยานอวกาศอาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผลซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน

















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น