เรื่องนี้เกิดมานานแล้วละครับ ตั้งแต่พ.ศ.2538 โน่น ผมไปเรียนเกี่ยวกับเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่ ยู ซี อาร์ มหาวิทยาลัยของเมืองริเวอร์ไซด์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คุณลุงผมเป็นแพทย์ที่ไปทำงานและมีบ้านหลังใหญ่อยู่ที่นั่น ผมก็เลยสบายแฮ
ที่ว่าสบายคือไม่ต้องเสียค่าที่ พัก แถมอาหารก็ฟรี เพราะผมเป็นหลานคนโปรด แต่ผมก็ช่วยงานบ้านคุณลุงกับคุณป้าทุกอย่าง เพราะรักและอยากจะตอบแทนความเมตตาของท่าน
แม่ผมไปเยี่ยม อยู่ด้วยกันถึง 6 เดือน แม่ยังตะลึง บอกว่าอยู่เมืองไทยน่ะผมแสนจะเป็นคุณหนูเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดฝุ่น ล้างห้องน้ำ และรีดผ้าก็เป็นด้วย
ที่อเมริกามีวิชาที่ผมชอบมาสนองความต้องการเพียบ เรียนจบ 4 ปีแล้วผมยังอยู่ต่อ สมัครเข้าเรียนคอร์สสั้นๆ เช่น กราฟิกดีไซน์ การวาดรูปด้วยคอมพิวเตอร์ และเทคนิคพิเศษต่างๆ
สรุปรวมแล้ว ผมเพลิดเพลินจำเจริญใจอยู่เกือบ 6 ปี และในช่วงนั้น ผมกลับมาเยี่ยมเมืองไทยแค่ครั้งเดียว
เป็นครั้งที่ผมโดนผีหลอกนี่ละครับ!
ผมกลับมาเป็นคุณหนูเทวดาอยู่กับแม่หนึ่งเดือนเต็มๆ จากนั้นก็ถึงเวลาเหินฟ้าด้วยสายการบินของเพื่อนบ้าน ขาประจำของผม...ตรงกลับแอลเอ
การบินเที่ยวนี้ผมฉายเดี่ยว ที่นั่งในเครื่องบินเต็มทุกที่ยังกะแจกตั๋วฟรี ดีนะที่เราจองล่วงหน้าไว้นานแล้ว ผมได้ที่นั่งฝั่งหน้าต่างด้านซ้าย แต่ไม่ได้นั่งชิดติดหน้าต่างนะครับ เก้าอี้แถวนี้จะมี 3 ตัว ผมนั่งริมทางเดิน นึกเสียดายเพราะผมชอบนั่งติดหน้าต่าง ดูเมฆดูดาวให้เพลิดเพลิน
ปรากฏว่าคนที่มานั่งตรงนั้นเป็น คุณตาแก่ๆ อายุสัก 70 เห็นจะได้ หน้าตาใจดี แต่เศร้าจัง แกมีอัธยาศัยไมตรีกับผมดีมาก แต่ก็ชอบนั่งเหม่อลอยมองออกไปทางหน้าต่างเงียบๆ
ที่ผมบอกว่าตะกี้ว่าที่นั่งเต็ม ทุกที่น่ะไม่จริงหรอกครับ เก้าอี้ระหว่างผมกับคุณตายังว่างอยู่ ก็แปลว่าทั้งเครื่องบินจัมโบ้ 747 ลำนี้มีว่างอยู่ที่เดียวจริงๆ
คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมโชคดีไม่ต้องนั่งเบียดกับคุณตา!
เครื่องบินแวะที่สิงคโปร์ แล้วบินต่อไปแวะที่ไทเป ก่อนจะบินยาวตรงดิ่งไปฮาวาย ผู้โดยสารกินอาหารค่ำตามเวลาท้องถิ่น แล้วก็แย่งกันไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ แอร์โฮสเตสฉายหนังแล้วก็ปิดไฟมืด ยกเว้นบางคนอยากอ่านหนังสือก็เปิดไฟดวงเล็กๆ เหนือเก้าอี้ตัวเอง
คุณตาแกหลับไปแล้ว แหม! หลับง่ายดีจัง ส่วนตัวผมน่ะเป็นอะไรไม่รู้ซี ขึ้นเครื่องทีไรมักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอด ไม่มีวันหลับสนิทได้เลยซักครั้ง
คราวนี้ก็เช่นกัน! ผมหลับตานิ่งๆ เพราะอยากพักผ่อน ไม่รู้หลับหรือเปล่า แต่หนังที่ฉายก็จบไปแล้ว ไม่มีแสงวูบวาบกวนตา ทั่วทั้งลำเงียบสงบ มีแต่เสียงเครื่องยนต์กับแอร์ดังหึ่งๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้รำคาญอะไร
ทันใดนั้น ผมรู้สึกดิ่งเข้าภวังค์คล้ายจะเคลิ้มหลับ แต่เอ...ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่นา
ผมไม่ชอบความรู้สึกดิ่งเหมือนโดนแม่เหล็กดูดแบบนี้ ก็เลยลืมตา แต่หนังตามันหนักมาก...ได้แต่ปรือๆ คิดว่าเราคงนอนทับเส้นเลือดมั้ง เลือดลมเดินไม่สะดวกเลยเกิดอาการแบบผีอำ...ผมพยายามขยับร่างกายก็ทำไม่ได้
และแล้ว ตรงทางเดินระหว่างแถวเก้าอี้ ห่างจากผมไปราว 2-3 ก้าว ผมก็เห็นร่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นพรม...หัวมาก่อนเลยครับ!
เป็นผู้หญิงแก่ๆ ผมบางๆ สีเทาเงินนั้นรวบตึงเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย เธอลอยตรงๆ ขึ้นมาทั้งตัว
ในแสงสลัวๆ ผมเห็นว่าเธอสวมชุดกระโปรงสีอ่อนๆ ยาวครึ่งแข้ง ตอนสาวๆ เธอคงหุ่นดีน่าดู เพราะสูงเพรียว คอยังระหงอยู่เลยครับ ลักษณะท่าทางก็ผู้ดี๊ผู้ดี...เสียอย่างเดียวคือผมรู้แน่ๆ ชัวร์ๆ ว่า...เธอเป็นผี!!
ผมฝันไปรึเปล่าเนี่ย?
เธอลอยเข้ามาใกล้อย่างน่าตกใจ เห็นเลยครับว่าเท้าเธออยู่เหนือพื้นทางเดินขึ้นมาราวคืบหนึ่ง
ที่น่าสยองสุดๆ คือ เธอลอยผ่านที่นั่งผมโดยไม่ต้องขยับขาเบี่ยงหลบให้...ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ เพราะมันขยับไม่ออก มิหนำซ้ำยังหนาวเข้ากระดูกดำ เหมือนทั้งตัวผมกลายเป็นไอติมแท่งไปแล้ว!
ผีผู้หญิงลอยลงนั่งเก้าอี้ตรงกลางระหว่างผมกับคุณตานั่นแหละ จากหางตาผมเห็นนั่งเอาแขนพาด โอบกอดร่างคุณตา ศีรษะเธอเอนซบลงช้าๆ
แล้วผมก็หลับสนิทวูบไปเลย หรือสิ้นสติเพราะความกลัวสุดขีดก็ไม่ทราบ
เครื่องลงแวะฮาวาย คุณตาบอกล่ำลาผม ถามว่าผมไม่สบายรึเปล่า เห็นหน้าเซียวๆ ผมไม่ได้เล่าอะไรให้แกฟัง แต่ก็อดพูดคุยลัดเลาะถามโน่นถามนี่ จนมาถึงคำถามว่า...คุณตามาเที่ยวหรือมีลูกหลานที่ฮาวาย?
ได้เรื่องเลยครับ...คุณตาบอกว่า บ้านแกอยู่ฮาวาย ทำธุรกิจที่นี่แล้วไปเที่ยวเมืองไทยกับคุณยาย แต่คุณยายหัวใจวาย น่าเศร้ามาก...คุณตานำคุณยายใส่โลงขึ้นเครื่องบินมาทำพิธีฝังที่นี่
นั่นไง...นึกแล้วเชียว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น