วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เงาในกระจก

เรื่องที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2546 ดิฉันและพี่ๆ น้องๆ ได้รวบรวมเงินกัน แล้วก็มาเที่ยวพักผ่อนที่จังหวัดเชียงใหม่ สาเหตุที่เลือกมาจังหวัดนี้ เพราะน้องชายมารับเหมาปลูกบ้านให้กับญาติ จึงถือโอกาสมาดูบ้านและเที่ยวไปด้วยในตัว พอตกกลางคืน ก็ได้ที่พักที่อยู่ไม่ไกลมากนักกับบ้านที่ปลูกไว้ ที่พักนั้นมีลักษณะเป็นบังกะโลหลังเล็กๆ มีห้องน้ำในตัว ภายในห้องพักจะมีเตียงนอนขนาดใหญ่ เป็นเตียงเดี่ยว ราคาห้องละ 500 บาท โดยปกติก็จะพักได้ไม่เกิน 2 คน ต่อห้อง แต่ด้วยความที่เรามีเงินจำกัด จึงได้ต่อรองกับผู้ดูแลให้เช่า โดยเล่นเข้าพักห้องเดียวทีเดียวถึง 5 คน เป็นผู้ใหญ่ 4 คนและเด็ก 1 คน ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือลูกชาย ของดิฉันเอง ผู้ดูแลก็ยอมหลังจากต่อรองกันนานพอสมควร

พอเปิดประตูบ้านพักให้เรียบร้อย ก็ไม่เห็นเขาย้อนมาดูอีกเลย ขอผ้าห่ม เพิ่ม 1 ผืน เขาก็ไม่เอามาให้ คิดว่าเขาคงรำคาญพวกเราเต็มแก่ ที่ต่อรองเขามากแล้วยังขอโน่นขอนี่เพิ่มอีก

แต่ตอนที่จะเข้าไปบ้านพัก พวกเราก็เกิดความรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เพราะสังเกตว่ามีเครื่องรางมากกว่าห้องอื่นๆ ทั้งหน้าห้องและภายในห้องพัก มีผ้ายันต์ปิดไว้ด้วย พอขอเปลี่ยนไปพักห้องอื่นทางผู้ดูแลก็ตอบว่า เต็มหมดทุกหลังแต่เราก็ไม่เห็นมีใคร เพราะไม่ใช่ฤดูเทศกาลท่องเที่ยว ประกอบกับสถานที่ก็ไม่ใช่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากอยู่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่มาก แต่ดิฉันคิดว่า อยู่กันหลายคนคงไม่เป็นไร

ก่อนเข้าห้องพัก พวกเราก็ยกมือไหว้ขอโทษขอขมาเจ้าที่เจ้าทางกันเรียบร้อย หลังจากนั้นทยอยกันอาบน้ำ พอสี่ทุ่มเศษก็ขึ้นเตียงจะเข้านอน เพราะเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว

แต่ดิฉันนอนหลับไม่สนิท เพราะได้ยินเสียงคนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตลอดเวลา มันดังโหยหวน จนนอนหลับๆ ตื่นๆ แต่พอลืมตาก็ไม่เห็นมีใครเหมือนกับเสียงที่ได้ยินเลย จึงข่มตาหลับต่อ คิดว่าหูของตนคงจะฝาดไปเอง หรือไม่ก็เหนื่อยมาจากการเดินทางกระมัง

ภายในห้องที่เข้าพักจะมีกระจกบานใหญ่มาก และมีรอยร้าวอยู่ที่มุมบนด้านขวา ซึ่งกระจกบานนี้ติดอยู่ที่ข้างฝาตรงข้ามกับปลายเตียง ใกล้ตีห้าพอฉันจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หางตาก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงนั่งชันเข่าอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เด็กคนนั้นอายุน่าจะ 14-15 ปี ฉันไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นนั้นจะเป็นเงาของอะไรหรือไม่ จึงเพ่งดูในกระจกอีกรอบ ก็เห็นชัดสองตาเลยว่าเธอกำลังนั่งอยู่

ตอนแรกก็คิดว่าน้องสาวคงจะถอดเสื้อผ้า แล้ววางพาดไว้ที่เก้าอี้ ดิฉันจึงหันกลับไปมองที่เก้าอี้ ปรากฏว่าที่เก้าอี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่บนเก้าอี้ทั้งสิ้น แต่พอหันกลับมามองในกระจกอีก ก็เห็นเด็กผู้หญิงนั่งอยู่ อย่างเหม่อลอยเหมือนเดิมอีก พอหันกลับไปมองอีกรอบ ก็เห็นแต่เก้าอี้เปล่าๆ อีก เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ถึง 3 รอบ

ดิฉันจึงเริ่มพิจารณา เห็นตัวเธอดูซีดขาว ตั้งแต่สีหน้า มือ ขา เล็บ หน้าตาดูเศร้า เหมือนคนมีความทุกข์ทรมานกับอะไรสักอย่าง เสียงของเธอนั้น ร้องเรียกหาบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ปนกับเสียงร้องไห้ ขนของฉันลุกซู่ 

ครั้นฉันจะเรียกคนอื่นให้ตื่นขึ้นมา พวกเขาก็กำลังหลับหลับสบาย ฉันเลยละสายตา เลิกมองแล้วรีบเข้าห้องน้ำ ฉันรีบอาบน้ำ เพราะอยู่ในห้องน้ำคนเดียวและตอนนั้นก็กลัวมากเสียด้วย เสียงโหยหวนยังครวญครางอยู่แถวหู เหมือนเธอมายืนร้องอยู่ด้านหลัง

มาถึงขั้นนี้ ฉันรีบล้างตัว พอออกมาก็รีบเปิดไฟทั้งห้องทันทีเลย อารมณ์ตอนนั้นไม่เกรงใจใครๆ อีกแล้ว
พอเปิดไฟ ตรงโต๊ะเครื่องแป้งก็ไม่เห็นใครนั่งอยู่ตรงนั้นอีก แต่ที่ไม่น่าเชื่อเลย คือ เบาะเก้าอี้ตัวนั้น ยังอุ่นๆ เหมือนคนนั่งเพิ่งจะลุกจากที่นั่งไปอยู่เลย...บรื๋อ

ว่าแล้วฉันก็เผ่นออกจากห้องมารอคนอื่นๆ โดยที่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยเพราะกลัวว่า พวกเขาจะหวาดกลัวจนหมดสนุกกัน

ดิฉันเก็บความสงสัยไว้ในใจมาตลอด จนมาเล่าให้เพื่อนๆ ที่ทำงานฟัง เพื่อนๆ แนะนำให้ใส่บาตรให้กับเด็กสาวคนนั้น ดิฉันก็ทำตาม แล้วดิฉันลองซื้อหวยเพราะเพื่อนบอกว่าเราจะโชคดีจากบุญ ที่เราได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาปรากฏว่าฉันโชคดีจริงๆ ถูกหวยถึง 2 ครั้งซ้อน

ดิฉันจึงให้ญาติของดิฉันที่อยู่ทางนู้นช่วยตามหาต้นสายปลายเหตุกับสิ่งที่ดิฉันเจอให้ว่า เธอมีความเป็นมาอย่างไรและเป็นใครกันแน่

ดิฉันมารู้จากญาติในภายหลังว่า เด็กผู้หญิงคนนั้นน่าสงสารมาก เธอมาพักที่บังกะโลหลังนี้กับพี่ชายและเพื่อนๆ ของพี่ชาย แต่พี่ชายกลับเมาจนครองสติไม่อยู่และในที่สุดก็ร่วมกับเพื่อนข่มขืนและบีบคอเธอ ผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ จนขาดใจตาย ก่อนจะอำพรางศพไว้ใต้เตียงแล้วหนีไป 

ดิฉันได้ฟังก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ได้เงินจากหวยมาก็รีบทำบุญส่งให้อีกรอบ สาธุ ไปเกิดที่ชอบๆ เทิ้ด แม่เจ้าประคู้ณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น