วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สารพัดคำสาป

คำสาปที่น่าพิศวงและน่าสนใจ มีอยู่มากมายทั้งแบบที่เป็นของโบราณ ทั้งมาจากที่เป็นคำสาปของคนเรานี่ละ ที่ผูกพันติดวัตถุและแบบที่เป็นคำสาปจาก "อะไร" บางอย่างผ่านเข้ามาในสื่อ ไม่ว่าจะเป็น เพลง หรือ ภาพยนตร์

เชื่อไหมครับว่าการสาปแช่งนี่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ในทุกชาติทุกภาษา เนื่องจาก "ความโกรธแค้น" เพียงอย่างเดียว คนไทยเราถึงบอกกันมาแต่รุ่นปู่ย่าว่า จะด่าก็ด่าแต่ไม่ให้สาปแช่งใคร เพราะมันจะผูกพันติดต่อกันยาวนานลองมาดูเรื่องของการสาปที่มีกันแต่ครั้งกรีกยังเป็นอาณาจักรรุ่งเรืองกันหน่อย

ในสมัยนั้นเชื่อกันว่า ถ้าใครโดนสาปละก็ ผลของมันจะติดค้างตามตระกูลกันเลย ไม่เว้นแม้แต่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และคำสาปโบราณที่ขึ้นชื่อลือชาไม่แพ้ของพวกอียิปต์เห็นจะเป็นคำสาปในตระกูลอาทริอัสเรื่องของเรื่องก็เกิดจากการที่อาทริอัสฆ่าลูกชายของเทพเฮอร์เมส(อีกชื่อหนึ่งว่าเมอร์คิวรี่) ตายระหว่างชิงรักหักสวาทกัน เฮอร์เมสผู้เป็นบิดาสุดแค้นมนุษย์คนนี้นัก จึงสาปแช่งให้กรรมสนองฆาตกรที่ฆ่าบุตรของท้าวเธอ "ตลอดทั้งโครต" กาลต่อมา ตอนที่คำสาปเริ่มแผลงฤทธิ์ อาทริอัสได้ฆ่าลูกชายของตัวเองโดยไม่เจตนา ส่วนหลานชายของเขา อะกาเมนนอนผู้เป็นวีรบุรุษคนหนึ่งในมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ ถูกเมียและชู้รักของเมียฆ่าตาย แต่แล้วเธอก็ถูกสังหารให้ตายตกไปตามกันด้วยน้ำมือของลูกชายและลูกสาวของเธอเองนี่ไงครับ เป็นอาถรรพณ์คำสาปชนิดดึกดำบรรพ์จริงๆ ต่อจากนั้นผู้คนก็เชื่อเรื่องของคำสาป แบบล้างโครตเช่นนี้มากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านมาก็คาดว่าน่าทำกันในหลายที่ทีเดียว


แต่ที่ดูจะมีหลักฐานเอามาคุยกันได้ เห็นจะไม่พ้นอังกฤษ แผ่นดินที่ผีชอบสิง เชื่อกันว่าครอบครัวขุนนางหลายครอบครัวของที่นี่ ต้องมนต์อาถรรพณ์ประจำตระกูลชนิดที่เรียกว่าทั้งโครตเช่นกัน ดังเช่นในศตวรรษที่ 18 เอิร์ลแห่งเบรโดบินชาวสก๊อต ได้ย้ายหลุมศพแห่งหนึ่งออกไปนอกเมืองเพื่อสร้างปราสาทเทนเมาท์ หรือพูดง่ายๆ คือปลูกบ้านบนที่ป่าช้านั่นเอง แต่การกระทำอย่างนี้ให้บังเอิญไปขัดกับธรรมเนียมโบราณประจำตระกูล เพราะสุภาพสตรีเจ้าของหลุมศพที่ถูกรบกวนได้สาปแช่งเอาไว้แต่เดิมว่า เอิร์ลสองคนของตระกูลนี้จะไม่ประสพความสำเร็จ และไม่ช้าคำทำนายก็กลายเป็นความจริง ข้อมูลไม่ได้บอกว่าเป็นอย่างไร แต่ก็คาดว่าน่าสยองพอสมควรล่ะคำสาปที่มีการเล่นทั้งตระกูลแบบนี้บางทีไม่ได้มีต้นเหตุมาจากคนก็มี 

แบบของตระกูลอาแนบเปลแห่งดัสเบิร์กในประเทศฮอลแลนด์นั่นก็ที่หนึ่ง ผู้คนในตระกูลนี้ต่างก็มีฝ่ามือที่เปลี่ยนสีเป็นสีดำหลังคลอดได้หกเดือนกันถ้วนหน้า เป็นอย่างนี้มาไม่รู้กี่ชั่วคน หมอลงความเห็นว่าเกิดจากสาเหตุด้านพันธุกรรม แต่พวกชาวบ้านปักใจเชื่อว่า เป็นเพราะเมื่อ 400 ปีก่อน อาแนบเปลคนหนึ่ง ได้ช่วยโบสถ์ให้รอดจากการถูกไฟไหม้โดยการชักเชือกสั่นระฆังขณะที่มือของเขาเองก็กำลังถูกไฟไหม้ชาวบ้านเชื่อว่าไฝนี้เกิดจากปีศาจ เมื่ออาแนบเปลไปขัดขวางเข้า เจ้าปีศาจโกรธจึงสาปเขาและลูกหลานให้ฝ่ามือดำตลอดชีวิตชั่วโครต

อีกตระกูลหนึ่งซึ่งไม่มีใครอธิบายได้ว่าเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ได้แก่ ตระกูลกินเนส บรูเวรี่เพราะว่าใน ค.ศ.1978 สมาชิกตระกูลนี้เสียชีวิตไปสี่คนรวด ในเวลาไม่กี่เดือน กล่าวคือในเดือนมิถุนายน เลดี้ เฮนเรียตต้า กินเนสตกน้ำตายในสโปเลโต ประเทศอิตาลี อีกไม่กี่วันต่อมาทายาทสาวตระกูลนี้ก็จมน้ำตายในอ่างอาบน้ำ ขณะที่พยายามฉีดเฮโรอีนเข้าตัว แล้วในเดือนมิถุนายนเช่นเดียวกัน มีคนพบศพนายพัน เดนนีส์ กินเนสตายในแฮมไชร์โดยมีขวดยาเปล่าตกอยู่ข้างๆ วันคืนผ่านไปแค่เดือนสิงหาคม จอห์น กินเนส ผู้ช่วยคนหนึ่งของประธานาธิบดี เจมส์ คาลาแฮนแห่งอังกฤษได้รับอุบัติเหตุรถชนที่นอร์ฟอล์ค แต่รอดชีวิตมาได้ ผู้รับเคราะห์ตายแทนคือบุตรชายอายุสี่ขวบ ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่งที่นั่งมาด้วยกันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

โดยปกติคำสาปมักจะเกิดจากแรงอาฆาตแค้น คำกล่าวสาปแช่งของคนจะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพลังจิต คนไหนมีพลังจิตกล้าแข็งแรงอาฆาตก็ก่อให้เกิดพลังงานตามล้างได้มากกว่า คนที่พลังจิตด้อย แช่งไปเท่าไรไม่ค่อยได้ผล คนโบราณที่ล่วงรู้ความลับตรงนี้ถึงขนาดสร้างขึ้นมาเป็นศาสตร์เชียวละ แต่ว่าเมื่อตกมาถึงปัจจุบัน ศาสตร์ลึกลับพวกนี้เชื่อว่าสูญไปแล้ว กระนั้นก็ยังหลงเหลืออยู่ในที่บางแห่งแบบเรื่องนี้ไงครับ มันเป็นเรื่องของการสาปของชาวเกาะเชียวละ

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ ภรรยาของนายโรเบิร์ด ไฮเนิลจูเนียร์ นานยพันนอกราชการ แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงปี 1958 - 1963 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะฑูตทหารเรือสหรัฐประจำเฮติ เกิดสนใจเรื่องความลึกลับต่างๆ ของที่นั่นเข้า จึงไปศึกษาเรื่องศาสนาวูดูมาบ้าง แต่ต่อมาพอทั้งสามีภรรยาเดินทางกลับสหรัฐ ก็เขียนหนังสือชื่อ "เขียนด้วยเลือด" ขึ้น มันเป็นประวัติศาสตร์ของเฮติ ซึ่งมีเนื้อความวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครองประเทศในขณะนั้น คือ ฟรองซัวร์ ดูวาลิเยร์ ที่ใครๆ เรียกว่า "พ่อหมอ" หรือ "ปาปาด๊อก"ปรากฏว่าต่อจากนั้น เมื่อหนังสือเผยแพร่ออกไป ก็มีช่วงลงในหนังสือพิมพ์ที่จัดทำโดยชาวเฮติที่ถูกเนรเทศว่า หนังสือของเขา ถูกซีโมนภรรยาหม้ายของปาปาด๊อกสาปแช่ง (คาดว่านางคงกระทำพิธีนี้หลังมรณกรรมของปาปาด๊อกในปี 1971) แต่แรกสองสามีภรรยาไฮเนิลดูจะภาคภูมิใจเหลือเกินว่าหนังสือที่ตัวเขียนมีค่าถึงขนาดต้องคำสาป หากแต่ความยินดีก็กลับกลายเป็นความหวาดกลัวในไม่ช้า ประเดิมครั้งแรกต้นฉบับสูญหายระหว่างทางไปสำนักพิมพ์ ทำให้นายและนางไฮเนิลต้องเตรียมสำเนาต้นฉบับใหม่อีกฉบับหนึ่ง แล้วส่งไปเย็บเล่ม แต่เครื่องเย็บกลับพังใช้ไม่ได้กระทันหัน (สี่เดือนหลังจากนั้น ต้นฉบับที่หายกลับโผล่มาอยู่ในห้องร้างซึ่งไม่เคยถูกใช้เลยของสำนักพิมพ์นั่นเอง) ด้านนักข่าววอชิงตัน โพสต์ ผู้เตรียมสัมภาษณ์นักเขียนสองสามีภรรยา อยู่ๆก็เกิดล้มเจ็บลงเพราะไส้ติ่งอักเสบรุนแรง ทำให้การสัมภาษณ์ต้องล้มเลิกไป สำหรับนายพันผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็โดน"อะไร" เล่นงานโดยตกลงมาจากเวที ขณะกำลังกล่าวสุนทรพจน์ มิหนำซ้ำขณะที่กำลังเดินกลับมาจะถึงบ้านอยู่แล้วเชียวจู่ๆ ก็มีสุนัขวิ่งตรงเข้ามากัดพอเบาะๆ แค่คางเหลือง เรียกว่าซวยสองต่อคำสาปยังแผลงฤทธิ์ต่อไปครั้งล่าสุด วันที่ 5 พฤษภาคม 1979 ครอบครัวไฮเนิลไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่เกาะเซนต์ บาร์โธเลมิวใกล้กับเฮติ คราวนี้เล่นงานหนักถึงขนาดนายพันหัวใจวายตายไปต่อตาเชียว ต้องนับว่าคำสาปของชาวเฮติเฮี้ยนเอาเรื่อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น